ชีวิตสุดขั้วของ ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี จากทุกข์กลายเป็นสุขได้เพราะธรรมะ

บอกตามตรง ดิฉัน (ตุ๊ก-ดวงตา ตุงคะมณี) ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสนั่งเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ใครฟัง เพราะมองไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อันใดกับใคร และไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นตัวอย่างในเรื่องอะไรให้ใครได้ แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อเกิดวิกฤติ ชีวิตก็พลิกเปลี่ยน ทำให้ดิฉันได้เข้าใจอะไรๆ ในชีวิตมากขึ้น และมากเพียงพอที่จะเล่าให้คนอื่นฟัง

ชีวิตของดิฉันผ่านอะไรต่ออะไรมาเยอะมาก โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงกว่า 30 ปี ผ่านการแต่งงาน หย่าร้าง ได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา จนคิดว่าตัวเองรู้จักโลกนี้ดีพอแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงดิฉันกลับไม่รู้อะไรเลย

ดิฉันเติบโตมาอย่างมีความสุข แม้ว่าคุณพ่อจะมีภรรยาสองคน แต่ความรักที่ท่านมีให้ดิฉันนั้นเต็มเปี่ยม ดิฉันเป็นลูกสาวคนที่สองในจำนวนพี่น้องสี่คน ด้วยความที่อายุไล่เลี่ยกับน้องชายคนที่สาม ทำให้มีเพื่อนเล่นส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชาย นิสัยของดิฉันจึงทโมนมากถึงมากที่สุด ไม่ชอบเล่นตุ๊กตา แต่ชอบกระโดดน้ำ ปีนต้นไม้ เรื่องเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว เรียกว่าเป็นศูนย์ ส่วนเรื่องเรียนคิดว่าถ้าตั้งใจเรียนมากกว่านี้ก็น่าจะทำได้ดี

ช่วงที่เรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ห้า จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แผนกศิลป์-ฝรั่งเศส ดิฉันไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเกี่ยวกับเดรสเมคกิ้งแอนด์แฟชั่นดีไซน์ พอกลับจากเมืองนอกก็แต่งงานตอนอายุ 21 ปี เป็นการแต่งงานที่เปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทันที จากเด็กนักเรียนกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว ดิฉันไม่ได้ใช้ชีวิตเป็นสาวเลยก็ว่าได้ แถมมีโลกทัศน์ที่แคบมาก

ความจริงแล้วดิฉันเริ่มเห็นปัญหาในชีวิตคู่ของตัวเองตั้งแต่ตอนตั้งท้องแล้ว แม้สามีจะอายุห่างจากดิฉัน 9 ปี แต่ด้วยความที่ดิฉันยังเด็ก ความอดทนยังน้อย ชอบเอาแต่ใจตัวเอง ถือตัวเองเป็นใหญ่ จึงไม่ค่อยฟังเขาสักเท่าไร ส่วนเขาก็มีข้อบกพร่องหลายอย่างที่ดิฉันรับไม่ได้ ทั้งความเจ้าชู้และอื่นๆ

แม้คุณแม่จะคอยสอนว่าการครองคู่เป็นครอบครัวนั้น ต้องเผชิญปัญหากันทั้งนั้น ตัวคุณแม่เองก็เจอปัญหาจากคุณพ่อมาเยอะ เพราะความเจ้าชู้ของท่าน ทำให้คุณแม่ต้องต่อสู้กับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เข้ามาข้องแวะกับคุณพ่อตลอด มีทั้งเลือดตกยางออก และน้ำตาตกในไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร แต่ก็ยังครองคู่อยู่ด้วยกันได้

แต่ที่สุดดิฉันและพ่อของลูกก็ไม่สามารถประคับประคองชีวิตคู่ได้อีกต่อไป หลังแต่งงานได้ประมาณ 7 ปี ในขณะที่ลูกชายคนเดียว น้องพัตเตอร์-รุจโรจน์ ตุงคะมณี อายุได้ 4 ขวบ เราก็แยกทางกัน ครั้งนั้นถือเป็นความทุกข์ครั้งใหญ่ ดิฉันร้องไห้เป็นเดือนๆ กินไม่ได้นอนไม่หลับ หันไปเป็นลูกที่นอนอยู่ข้างๆ เมื่อไรก็น้ำตาตกในเมื่อนั้น คิดไปสารพัด ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงลูกได้ดีแค่ไหน อนาคตของลูกจะเป็นอย่างไร อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ค่อนข้างวิตกกังวล คิดว่าถ้าเรียนจบแล้วทำงานคงไม่เป็นไร แต่นี่เรียนจบแล้วแต่งงานเลย จึงไม่รู้ว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร

แต่โชคดีที่มีคุณพ่อเป็นกำลังใจและมีคุณแม่ช่วยเลี้ยงลูก ทำให้ผ่านพ้นช่วงเวลานั้นมาได้ โดยเฉพาะคุณพ่อ ดิฉันคิดว่าได้รับเลือดนักสู้มาจากท่านเยอะ คุณพ่อหาเงินเลี้ยงลูกสองบ้านถึงเก้าคน คุณพ่อคนเดียวเท่านั้นที่แก้ปัญหาอย่างเด็ดเดี่ยวมาตลอด ท่านสอนให้ดิฉันรู้จักอดทน และบอกเสมอว่าเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน จึงจะชนะใจคนอื่นได้

ดิฉันลุกขึ้นสู้ด้วยการหางานทำ ที่แรกคือที่โรงแรมอินทรารีเจ้นท์ เป็นคอมเมอร์เชียลเรพรีเซนเทชั่น มีหน้าที่ขายห้องพัก ขายงานจัดเลี้ยงสัมมนา ที่นี่เองที่เปิดโลกของดิฉันให้กว้างขึ้น การที่ได้พบปะผู้คน เห็นปัญหาชีวิตของคนอื่น ทำให้รู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ

จนวันหนึ่งมีคนชวนไปเดินแฟชั่นโชว์ หลังจากนั้นมาดิฉันก็มีอาชีพเสริมเป็นนางแบบอีกอาชีพหนึ่ง หลังจากเป็นนางแบบได้พักหนึ่ง พี่ก้อย-ทาริกา ธิดาทิตย์ ก็ชวนไปเล่นละครเป็นตัวประกอบ เรื่อง ไฟอารมณ์ ที่สถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 ในขณะที่เล่นเรื่องนี้ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ก็เรียกไปเล่นละครเป็นนางเอกเรื่องแรก มันนิมนตรา ได้แต่งตัวเป็นเจ้าหญิงแขกออกมาจากดอกบัว สมัยนั้นเพลงประกอบเพราะมาก มี คุณกุ้ง-กิตติคุณ เชียรสงค์ เป็นคนร้อง

เมื่อโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงก็ชักสนุก คราวนี้เลยไปลาออกจากงานที่โรงแรม จำได้ว่าเจ้านายใจดีมาก บอกว่าถ้าไม่เวิร์คก็กลับมาทำงานที่นี่ได้เหมือนเดิม แต่จนแล้วจนรอด ดิฉันก็ไม่เคยหวนกลับไปสู่อาชีพแรกอีกเลย

ตอนนั้นดิฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้รับโอกาสให้เป็นนางเอก ทั้งที่ในช่วงที่เป็นนางเอกละครดิฉันอายุ 24-25 ปีแล้ว ในขณะที่นางเอกคนอื่นๆ อายุ 17-18 กันทั้งนั้น เช่น คุณอุทุมพร ศิลาพันธุ์ คุณนวลปราง ตรีชิต คุณมยุรา ธนะบุตร แถมตัวเองยังเป็นแม่ม่ายลูกติดอีกต่างหาก

ดิฉันทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย หากจะว่าไปแล้ว ลูกชายของดิฉันเติบโตมาด้วยความรักอย่างเหลือล้นจากคนรอบข้าง ทั้งคุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่า และน้าๆ อาๆ ไม่ได้ขาดความรักเลยสักนิด เพียงแต่พ่อกับแม่ของเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันเท่านั้น

ในขณะที่หน้าที่การงานก้าวหน้า ได้เป็นพิธีกรมีชื่อเสียงโด่งดังคู่กับ คุณวิทวัส สุนทรวิเนตร ในรายการ สี่ทุ่มสแควร์ แต่เรื่องความรักดิฉันกลับดิ่งลงเหว ลัคกี้อินเกมแต่อันลัคกี้อินเลิฟมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีแฟนกี่คนๆ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ รู้ตัวดีว่ามาจากนิสัยของตัวเองที่เป็นคนใจร้อน ร้อนถึงขนาดที่คุณแม่ไม่ยอมให้เดินเฉียดใกล้ต้นไม้ที่ท่านปลูกไว้ เพราะกลัวต้นไม้จะตาย ขี้โมโห ทำอะไรก็สุดๆ ไม่เอียงซ้ายก็เอียงขวา มีอัตตาตัวตนสูงมาก ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ความคิดของดิฉันถูกเสมอ และขี้หึงเป็นที่สุด เวลามีแฟน ดิฉันจะคิดว่าเขาต้องปรับตัวเข้าหาดิฉันสักแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนตัวเองปรับยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อคิดแบบนี้ความรักที่ผ่านมาจึงไม่ยืนยาวเลยสักครั้ง

ทุกวันนี้ดิฉันเห็นแล้วว่าความรักคือทุกข์ เห็นชัดๆ ว่าทุกข์ มองไม่เห็นความสุขในความรักอีกต่อไป เพราะในขณะที่มีความรักเรามีความสุข รักกันเหลือเกิน เราก็จะมีความทุกข์จ่อมาติดๆ ทุกข์เพราะเราอยากยึดผู้ชายคนนี้ไว้เป็นของเราคนเดียว อยากให้เขาอยู่กับเราตลอดเวลา ไม่อยากแบ่งปันให้ใคร และไม่อยากให้มองคนอื่น ความรักของดิฉันเป็นความยึดติดอย่างแน่นหนา เป็นความรักที่ทำให้คนตาบอดจริงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ รักแล้วลุ่มหลง พอผิดหวังขึ้นมาก็ตีอกชกหัว ฟูมฟาย เหมือนไฟเผาใจ

ช่วงแรกๆ ที่คบเป็นแฟนก็ดีทุกคน อาจเป็นเพราะแรกๆ ตัวตนของเรายังไม่ออกมา เรายังดีกับเขา พออยู่ไปนานๆ ฤทธิ์เดชก็ออก ทุกครั้งที่เลิกกับแฟนดิฉันจึงไม่โทษใคร ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเลวร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะส่วนหนึ่งของความล้มเหลวก็มาจากเรา

แต่ต่อให้ผิดหวังอกหักสักกี่ครั้ง ดวงตา ตุงคะมณี ก็ไม่คิดว่าจะหาทางดับทุกข์ด้วยการหันหน้าเข้าวัดปฏิบัติธรรมเลยสักครั้ง เพื่อนๆ ต่างรู้ดีว่าเรามีธรรมชาติเป็นอีกอย่างคือเป็นคนใช้ชีวิตเสเพลมาก สำมะเลเทเมา กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวเต้นระบำรำฟ้อน ฟุ้งเฟ้อ ใช้ชีวิตทางโลกมากๆ แต่แล้ววิกฤติครั้งสำคัญในชีวิตก็ผลักดันให้ดิฉันหาทางออกให้ตัวเอง ด้วยการบอกเพื่อนซึ่งเป็นกัลยาณมิตรว่า “ฉันอยากทำกรรมฐานบ้างแล้ว พาไปหน่อยสิ” ทุกข์ครั้งนี้ของดิฉันหนักหนาสาหัสขนาดไหน เกิดจากอะไร เห็นทีต้องเล่ากันยาวค่ะ

ดิฉันยอมรับว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมองเห็นตัวเองเลย เวลาทำอะไรแรงๆ แล้วไปกระทบใจคนอื่นจะรู้สึกแค่เพียงว่า ไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ถ้าพูดกับเขาดีๆ ก็คงไม่มีเรื่อง รู้สึกอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ไม่เคยคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้งที่คุณพ่อคุณแม่ก็เตือนมาโดยตลอดให้ใจเย็นๆ แต่เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวามากกว่า

จะว่าไปแล้ว ความผิดพลาดในชีวิตดิฉันมาจาก “วาจา” เยอะมาก ทั้งพูดจาหยาบคาย พูดด้วยความโมโห สารพัดจะพูด ยกเว้นพูดโกหกจะน้อย เพราะเป็นคนที่ชอบพูดตรงๆ ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด ไม่มีอ้อมค้อม

ถ้าใครทำอะไรให้ไม่พอใจ ดิฉัน “ว้าก” ตรงนั้นเลย ไม่มีการเรียกมาต่อว่ากันสองคน ว่าก็ว่ากันตรงนั้นท่ามกลางผู้คนมากมาย หรือเวลาขับรถ ใครบีบแตรปุ๊บต้องขับตามไปบีบแตรเขากลับ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เอาเรื่องมากๆ แล้วเวลาใครมาเล่าอะไรให้ฟังก็จะเออออห่อหมกกับเขาไปด้วย เรียกว่าไปทุกข์ร้อนกับเรื่องชาวบ้านแบบขาดสติก็เยอะ ชีวิตนี้ไม่เคยได้สงบนิ่งหรือลิ้มรสพระธรรมอย่างแท้จริงมาก่อน จนกระทั่งความทุกข์ครั้งใหญ่ถาโถมเข้ามาจึงได้คิด

ต้นปี 2549 ดิฉันนำทุกข์เข้าวัด ทุกข์ของดิฉันเกิดจากการว่างงาน เพราะงานพิธีกรที่เคยทำแทบกลายเป็นศูนย์ ช่วงนั้นบางรายการก็เลิกทำ บางรายการก็ถูกดึงเวลากลับคืนไป ยิ่งไปกว่านั้นงานละครก็ไม่มีสักเรื่อง ดิฉันว่างงานอยู่หกเดือนเต็มๆ ในชีวิตไม่เคยว่างงานนานขนาดนั้นมาก่อน ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก แล้วคิดไม่ถูกทางด้วย มัวไปฟุ้งซ่านว่า “ตอนนี้เราจะตกแล้วเหรอ ชื่อเสียงเราจะดับแล้วใช่ไหม เราไม่มีความสามารถแล้วเหรอ ทำไมผู้จัดไม่เห็นความสามารถของเราแล้ว เราคงจะหลุดไปจากวงโคจรบันเทิงแล้วแน่ๆ” คิด…คิดไปสารพัด แล้วเอาเรื่องนี้ไปรวมกับเรื่องเลิกกับแฟนที่คบอยู่ด้วย เลยยิ่งทำให้เครียดจัด

ที่ผ่านมาเคยบ่นกับตัวเองตลอดว่า ทำไมเราถึงทำแต่งาน…งาน ไม่เคยได้หยุดพักเลย แต่พอได้พักจริงๆ กลับตั้งตัวไม่ทัน อย่างไรก็ตาม พอมีสติคิดได้ ดิฉันก็เรียกช่วงเวลานี้ของชีวิตว่าเป็นช่วง “ธรรมะจัดสรร” จัดสรรให้ดิฉันได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถึงแก่น ไม่ใช่แค่เปลือกอีกต่อไป

เมื่อบอกกัลยาณมิตร ให้ช่วยหาสถานที่สำหรับทำกรรมฐาน ดิฉันมีข้อแม้ให้เขาด้วยว่า ต้องเป็นคอร์สสองคืนสามวัน ไม่เอาเจ็ดคืนแปดวันเด็ดขาด เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีความอดทนมากพอ หาไปหามาก็ยังไม่ได้ จนวันหนึ่งดิฉันมีโอกาสได้พบกับ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถเข้าใจหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง ท่านนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ดิฉันไปเยี่ยมพร้อมกัลยาณมิตร ท่านก็แนะนำว่า ถ้าสนใจไปปฏิบัติธรรม ให้ไปหาหลวงพ่อของท่านที่วัดป่าธรรมอุทยาน จังหวัดขอนแก่น ที่นั่นเป็นวัดที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบ จะไปปฏิบัติกี่วันก็ได้ จะกินข้าวกี่มื้อก็ไม่ว่า จะนุ่งขาวห่มขาวหรือไม่ก็ได้ และจะค้างคืนหรือไม่ค้างคืนก็ได้

ตอนแรกที่ฟังดิฉันเกิดความสงสัยว่า “เอ๊ะ…แบบนี้เขาเรียกว่าไปปฏิบัติธรรมะเหรอ” เพราะภาพที่เราเข้าใจคือคนไปปฏิบัติธรรมต้องนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิพร้อมกัน ไปเดินจงกรมยกหนอย่างหนอพร้อมกัน

ครั้งแรกที่ตัดสินใจว่าจะไปปฏิบัติธรรม ดิฉันกลับมีมารมาผจญ เป็นความลังเลหวาดวิตกกังวลของตัวเองที่เข้ามารบกวนจิตใจว่า ไปแล้วเราจะอยู่ได้ไหมนะ ที่นั่นมีน้ำอุ่นให้อาบหรือเปล่า มีแอร์ไหม มีงูหรือเปล่า ผีดุไหม ฯลฯ คำถามสารพัดเข้ามาเล่นงานดิฉัน จนต้องยกหูโทรศัพท์ไปบอกเลิกนัดกับกัลยาณมิตรก่อนวันเดินทางแค่วันเดียว

แต่แล้วเมื่อกัลยาณมิตรท่านนั้นกลับมาเล่าให้ฟังว่า ปฏิบัติแล้วดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ คราวนี้ดิฉันตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่ายังไงก็ต้องไป สองวันหนึ่งคืนที่นั่นเปลี่ยนแปลงชีวิตดิฉันเลยก็ว่าได้ ฟังดูเหมือนโอเวอร์ใช่ไหมคะ ที่เวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้จะมาเปลี่ยนอะไรชีวิตคน แต่สำหรับดิฉันมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ดิฉันไปที่นั่นแบบสดมาก ไม่รู้เรื่องการปฏิบัติเลย หลวงพ่อกล้วยซึ่งเป็นเจ้าอาวาสให้ดูลมหายใจ ดิฉันก็ไม่เข้าใจว่าดูอย่างไร ดูไปเพื่ออะไร ซักถามหลวงพ่อเสียจนท่านบอกว่า “หยุดซักได้แล้ว ปัญญาทางโลกมีเยอะแล้ว แต่ปัญญาทางธรรมไม่มี ไม่ต้องซักแล้ว ให้มาเอาปัญญาทางธรรมด้วยการปฏิบัตินะ ให้ดับทุกข์ด้วยการดูลมหายใจ เอาแค่นี้ก่อน เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น”

ดิฉันรู้สึกว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น หลวงพ่อเมตตาเรามาก ทั้งที่ความจริงแล้วท่านก็มีเมตตากับทุกคน กลับมาจากวัด จิตก็มีสติมากขึ้น เพราะดิฉันพยายามตามดูลมหายใจตัวเองให้ทัน ทำให้ความฟุ้งซ่านแวบเข้ามาในสมองน้อยมาก เมื่อก่อนพอว่างปุ๊บก็คิดปั๊บแล้วดีดไม่ออก ปรุงแต่งคิดไปเรื่อยจนตัวเองแย่

ตอนนี้พอคิดปุ๊บ มีสติรู้ทัน ทุกข์ก็ดับไป ใจก็นิ่งขึ้น เบาขึ้น ไม่อยากสะกดคำว่า “ทุกข์” อีกแล้ว ว่างเมื่อไรก็อยากไปปฏิบัติธรรมที่ขอนแก่น และตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมาก็คุยกับลูกอย่างเข้าใจมากขึ้น เมื่อก่อนเขาแรงมาเราก็แรงกลับไป กลายเป็นเสียใจทั้งแม่ทั้งลูก ส่วนที่เคยปลูกต้นไม้แล้วตาย เดี๋ยวนี้หน้าบ้านต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันเขียวชอุ่ม เห็นแล้วชื่นใจ

กับคนรอบข้างดิฉันยึดขันติและอดทนมากขึ้น หลวงพ่อกล้วยสอนว่า ก่อนเพ่งโทษคนอื่นให้มองตัวเองก่อน จากที่เคยต่อว่าคนอื่นอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ตอนนี้รู้แล้วว่าเป็นการก่อภพก่อชาติ สร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเองไม่รู้จักจบสิ้น ต้องรู้จักปล่อยวาง รู้จัก “ช่างมันเถอะ” เสียบ้าง ตอนนี้ดิฉันเริ่มรู้จักตรงกลางแล้วว่าเป็นอย่างไร ทางที่ไม่สุดไปข้างใดข้างหนึ่งช่างนำพาความสงบมาให้หัวจิตหัวใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นการเรียนรู้ธรรมะอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ยังน้อมนำใจดิฉันให้อยากไปเยือนยังถิ่นที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน

ดิฉันมีโอกาสไปพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ได้เห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ สังเวชนียสถาน ที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตั้งอยู่ติดกับพระเจดีย์พุทธคยาทางด้านทิศตะวันตก ห่างจากแม่น้ำเนรัญชราไม่มากนัก พระศรีมหาโพธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ชาวอินเดียเรียกว่า “อัศวัตถ์” หรือ “อัสสัตถะ” หรือ “ปิปปละ” เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ภายใต้ต้นไม้ชนิดนี้ จึงได้ชื่อว่า ต้นโพธิ์ หรือโพธิรุกขะ ซึ่งเป็นนามเรียกต้นไม้ตรัสรู้

ดิฉันได้ทั้งความรู้และความปลื้มปีติเต็มตื้นอยู่ในใจ กลับมาจากที่นั่นรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธ ได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของในหลวงกับพระราชินี และขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอเกิดเป็นคนไทย และขอให้ได้พบพระพุทธศาสนาทุกชาติไป

แค่คิดถึงเรื่องนี้ดิฉันก็น้ำตารื้นขึ้นมาทุกครั้ง เป็นความรู้สึกสุขใจอย่างยากที่จะอธิบาย ซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ได้ไปเห็นซากกุฏิของพระพุทธเจ้าที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนอกจากจะปรักหักพังแล้วยังแคบนิดเดียว เห็นแล้วสะท้อนใจว่า ท่านเป็นถึงลูกกษัตริย์ แต่กลับสละทุกอย่างเพื่อมาอยู่ในป่า ณ ตรงนี้ที่ดิฉันยืนอยู่…ดิฉันร้องไห้ตรงนั้น ยืนร้องอยู่ตั้งนาน คิดว่าตัวเราสบายกว่าพระองค์ตั้งเยอะ ท่านได้เด็ดยอดธรรมะมาให้เราแล้ว แล้วทำไมเราถึงจะปฏิบัติไม่ได้ อย่างน้อยๆ เราก็น่าจะถือศีล 5 ให้ได้

แม้ทุกวันนี้ ดิฉันจะไม่สามารถละโลภ โกรธ หลง ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อไรที่มีเวลาว่าง ดิฉันจะปฏิบัติธรรมที่บ้าน หรือหาเวลาว่างไปทำกรรมฐานที่วัดป่าธรรมอุทยาน จังหวัดขอนแก่น สิ่งที่ได้รับทุกครั้ง เป็นความสุขใจ ที่ทำให้ดิฉันเข้าใกล้ความสงบมากขึ้น ทีละนิด…ทีละนิด

Cr.Goodlife,http://www.alittlebuddha.com/เผยแพร่ต่อ

Leave a Reply