พระสงฆ์เมืองไทย…ทำไมถึงไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก ?

@ หากผมจะพูดแบบนี้คิดว่าผู้ที่ได้ศึกษาและมองภาพรวมของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยมาตามแนวประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสงฆ์ไทยคงจะพอเห็นภาพและคงพอเข้าใจได้บ้าง เพราะปัญหาที่เกิดกับสงฆ์ไทยแล้วแก้กันไม่ตกอยู่ทุกวันนี้ มันก็มาจากการที่พระบ้านเราไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎกโดยตรงนั่นเอง

@ ปัญหาอะไรที่เกี่ยวกับการที่พระไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก ?

ผมจะสรุปเอาแบบตรงไปตรงมานะครับว่าปัญหาที่เกิดจากการไม่ได้กำหนดกรอบการศึกษาสงฆ์ไว้ที่พระไตรปิฎกก็คือ ปัญหาเหล่านี้ครับ

(๑) ปัญหาคำสอน

ข้อนี้เป็นปัญหาที่เกิดมาจากความเข้าใจในคำสอนที่คลาดเคลื่อน อันเนื่องมาจากการไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก อย่างชัดเจน แล้วไปอ้าง “คำสอน ประสบการณ์ของพระเกจิอาจารย์”มาเป็นมาตรฐานในการปฏิบัติหรือมาสอน เช่น คำสอนหลวงปู่นั่น หลวงพ่อนี่ คำสอนท่านนั้น ท่านนี้แต่ไม่มีเลยที่จะบอกว่าคำสอนในพระสูตรนั้นพระสูตรนี้

ดังที่เราจะพบว่าปัจจุบันนี้สงฆ์ไทยเราผลิตคำสอนเองได้ ขนาดว่าไม่ต้องอ้างหลักคำสอนที่เป็นมาตรฐานในพระไตรปิฎกมาเทียบเคียงกันเลย เอ่ยอ้างเอาเองว่าคำสอนที่สอนๆไปนั้นเป็นคำสอนของตนเองทั้งหมด ผมว่านี่อันตรายมากๆเลยเพราะต่อไป คำสอนพระพุทธเจ้าจะถูกลบเลือนไปด้วยคำสอนของพระเกจิอาจารย์นั่นเอง ดังจะพบว่ามีหนังสือที่สานุศิษย์พิมพ์ออกมาแล้วใส่ชื่อกันหลากหลายเรื่อง เช่น มุตโตทัย หยดน้ำบนใบ… ธรรมะนั่นธรรมะนี่มากมายไปหมด

แต่ไม่มีค่ายไหนที่จะออกมาพิมพ์คำสอนตามแนวอุทุมพริกสูตร ธรรมจักกัปวัตนสูตรในเชิงวิเคราะห์เพื่อให้เห็น ความจริงของเรื่องนั้นๆในพระสูตรนั้นๆว่าไว้อย่างไร

เวลามีคนออกมาสอนผิดๆเพี้ยนๆใน เมืองไทย สงฆ์ไทยเลือกที่จะนิ่ง ไม่ใส่ใจไม่สนใจโดยมาคนที่ออกมากระโตกกระตากเรื่องคำสอนผิดเพี้ยนเป็นโยมมากกว่าพระ ถามว่าทำไมพระถึงไม่กล้า เพราะอาจจะไม่กล้าเนื่องจากภูมิธรรมไม่แน่นทำให้ไม่อาจหาญ หรือเพราะกลัวมีเรื่องมีราว กลัวความยุ่งยาก เป็นต้น แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้มีเจ้าสำนักบางสำนักที่เป็นโยมบางสำนักออกมาเขียนหนังสือพรรณาการพยากรณ์พระอรหันตมรรคอรหันตผลแก่สานุศิษย์โครมๆ องค์กรสงฆ์ไทย “นิ่ง”ทั้งๆที่คำสอนแบบนี้หรือการกระทำแบบนี้ผิดจากหลักการในพระไตรปิฎกค่อนข้างมาก

การที่สงฆ์ไทยเลือกเงียบนั่นเพราะมาจากความที่สงฆ์ไทยไม่มีผู้เชี่ยวชาญพระไตรปิฎก หรือคนที่แม่นคำสอนในพระไตรปิฎก เพราะตนเองไม่ได้มีการจัดหลักสูตรให้พระสงฆ์เรียนกันมาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อไม่ได้เรียน ไม่จัดให้พระเรียนพระไตรปิฎก พระที่เชี่ยวชาญในคำสอนหรือ “พระธรรมธร” ก็จึงไม่มีซึ่ง มันเป็นเหตุเป็นผลต่อกันอยู่แล้ว เวลาที่เกิดเหตุสอนผิดเพี้ยนก็ใช้บุคคลากรที่มีหน้าที่ แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้มาจัดการเรื่องนั้นๆ ด้วยการใช้อำนาจรัฐเพียงอย่างเดียวก็จะทำให้ปัญหาไม่ยุติลุกลามไปใหญ่

(๒) ปัญหาพฤติกรรม

ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับ ศีล หรือวินัยที่พระท่านต้องรักษาพอมีผู้ละเมิดก็ไม่มีการนำรูปแบบที่ปรากฏในพระไตรปิฎกไปใช้ และไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านพระวินัยหรือที่เรียกว่า “พระวินัยธร”ไปเป็นผู้พิจารณาความผิดนั้น แต่เลือกใช้อำนาจกฏหมายแทนผ่านบุคคลทีามีอำนาจหน้าที่ ด้วยอ้างว่าเพื่อให้เรื่องมันจบเร็ว แต่เท่าที่เห็นการใช้อำนาจรัฐเข้าไปจัดการผมเห็นว่าปัญหาใหญ่ๆล้วนลุกลามบานปลายเกือบทุกเรื่อง

เนื่องจากต้นตอของปัญหาก็คือสงฆ์ไทยเราไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนพระไตรปิฎกโดยตรง ไม่มีสำนักเรียน โดยมากมีเฉพาะนักธรรมบาลี ไม่มีสำนักเรียนพระไตรปิฎก ผิดกับพม่า ที่พม่าเรียนบาลีจบ ป.ธ.๙ หรือ ธรรมะจริยะ แล้วพม่าถือว่ายังไม่ใช่ที่สุดของผู้สำเร็จการเรียนทางพระพทธศาสนา คือเมือจบสายบาลีเสร็จแล้วยังมีการศึกษาต่อระดับ “เลย ป.ธ.๙”ไปอีก คือ มี “ระดับติปิฎกธโร” หรือระดับผู้รู้พระไตรปิฎกอีกจบระดับนี้จึงจะถือว่าเป็นผูสำเร็จการศึกษาจริงๆเก่งจริงใช้ได้จริง

แต่สงฆ์ไทยเลือกที่จะเอาแค่ ป.ธ.๙ก็พอเพียงพอแล้วจบ ป.ธ.๙ ถือว่าจบพระไตรปิฎกไปด้วยเลยในตัว สุดยอดแล้วและจากนั้นก็จะพยายามที่จะขอให้รับรอง ป.ธ.๙ เทียบเท่าปริญญาเอก อืม ..เข้าท่าดีเมืองไทยบ้านเรา ผมว่าบ้านเราสงฆ์บ้านเรายังกำหนดหลักสูตรที่แคบและสั้นไปยังไม่วางกรอบหลักสูตรที่มีเป้าหมายเพื่อการศึกษาพระไตรปิฎกให้ชัดเจน ดังนั้น เมื่อไม่ได้มีการวางกรอบของหลักสูตรที่มุ่งสู่การเรียนพระไตรปิฎกอย่างชัดเจนแล้ว (๑) สงฆ์ไทยก็จะขาด ผู้รู้พระธรรมและพระวินัย (๒) ขาดผู้พิจารณาปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมและพระวินัย (๓) ก่อให้เกิดปัญหากับพระพุทธศาสนาที่ยาวนานต่อไปอีกเรื่อยๆ อันนี้ก็สืบเนื่องมาจากการที่องค์กรสงฆ์บ้านเรายังไม่ได้วางหลักสูตรการเรียนพระไตรปิฎกเอาไว้นั่นเอง

(๓) ปัญหาด้านกฎหมาย

เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฏหมายที่บางอย่างขัดแย้งกับพระธรรมวินัยโดยตรงเลย เช่น ปัญหาการบังคับให้สละสมณเพศ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้อำนาจกับพระโดยไม่ผ่านวิธีการหรือกระบวนการทางพระธรรมวินัย ผมว่าเมื่อพระไม่ได้เรียนพระไตรปิฎกอย่างแท้จริงแล้ว ที่สุดก็จะไม่มีหลักฐานข้อมูลไปอ้างเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หนักๆเข้าอำนาจกฎหมายก็เข้ามาจัดการบังคับพระผู้ใหญ่ให้สึกไปเมื่อไม่นานมานี้ก็กระเทือนเลื่อนลั่นกันไปทั้งประเทศ ก็กลายมาเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เราไม่ได้คิดไว้หรือคิดกันมาก่อน

(๔) ปัญหาการจัดการความขัดแย้งภายในองค์กรสงฆ์

ปัญหานี้เป็นปัญหาเรื่องของ “นิกายย่อยๆ”ที่เกิดขึ้นมาในสังคมไทยบ้านเรานี้เช่น ปัญหา “สันติอโศก”ที่แยกตัวออกไปจากมหาเถรสมาคม ภายหลังที่มีการขัดแย้งกันเรื่องวัตรปฏิบัติจนมีการฟ้องร้องกัน ที่สุดก็มีการแยกตัวจากมส.ไป ปัญหานี้ผมว่ามันเกิดมาจาก ๒ ฝ่ายคือฝ่ายสันติอโศก และฝ่าย มส.ก็ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎกมากัน แต่ละฝ่ายจึงตีความคำสอนแตกต่างกัน ถ้าสมมติว่า ทั้งสันติอโศกและมส.มีกรอบการเรียนจบพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันเมื่อไหร่ ผมเชื่อว่าไม่ทะเลาะกันหรอก ดีไม่ดีอาจจะช่วยงานกันทางด้านพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้ก็อาจจะเป็นไปได้ใครจะไปรู้ แต่นี่เพราะท่านผู้นำสันติอโศกไป แปล “ตัณหา” ว่ามาจาก ตัน กับ หา ก็เลยหาไม่เจอเพราะไปหาในที่ที่ตีบตัน ทางฝ่าย มส.ก็เลยไม่ยอมหาว่าสันติอโศกตีความตามอำเภอใจไปที่สุดก็ทะเลาะกันพระภาษาบาลีเดียวกันแต่ตีความต่างกัน ทำให้ชาวพุทธเองก็แตกแยกกันไป

@ เมื่อว่าโดยสรุปแล้ว ปัญหาที่เกิดในวงการสงฆ์บ้านเรานี้มันก็มาจากการที่เราไม่ได้กำหนดกรอบการเรียนพระไตรปิฎกให้พระนั่นเอง ทำให้พระ (ส่วนมาก)ที่ไม่ได้เรียนภาษาบาลีเป็นพื้นฐานจนจบ ป.ธ.๙ ไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกไปด้วย เมื่อไม่ได้อ่านไม่ได้เรียนแล้วก็จะทำให้ไม่รู้ ความรู้เกี่ยวกับพระไตรปิฎกจึงถูกจำกัดอยู่เฉพาะแต่กับพระบางกลุ่ม ไม่ทั่วไปสำหรับพระสงฆ์ส่วนมากของประเทศ ดังนั้น ก็ขอวอนว่าอนาคตอันใกล้นี้พระสงฆ์เมืองไทยน่าจะได้เรียนพระไตรปิฎกอย่างแท้จริง และมีการแก้ไขปัญหาตามแนวทางของพระไตรปิฎกเพื่อทำให้ปัญหาที่เกิดยุติลงได้ตามพระธรรมวินัยนะครับ

หวังไว้เช่นนั้นจริงๆ

Cr.FB-Naga King

Leave a Reply