บันทึกความจำช่วยน้ำท่วมรัฐมอญ “ชีวิตเฉียดตาย นึกถึงอะไร” (2)

            การไปบริจาคสิ่งของช่วยเหลือน้ำท่วมรัฐมอญปีที่ 2 ของมูลนิธิรามัญรักษ์และภาคีเครือข่ายปีนี้ ต้องยอมรับว่าติดขัดมีอุปสรรคหลายเรื่องจริง ๆ ผมพูดกับเพื่อน ๆ ตอนกลับตลอดว่า ไปบริจาคของปีนี้ไม่รู้ว่า  ได้บุญหรือได้บาป ได้เพื่อนหรือสร้างศัตรู”  ซึ่งเดียวผมจะเล่าเป็นช่วง ๆไป ถือว่าอ่านแบบขำ ๆ  แต่ในความจริงตลอด 6 วันที่อยู่พม่ายอมรับเครียดและมีปัญหาให้แก้ตลอดการเดินทางจนวินาทีสุดท้าย

 

            ความจริงการเดินทางของคณะเราทั้งหมดไม่น่ามีปัญหา หากไม่ติดขัดเรื่องการขนของบริจาคเข้าไปยังรัฐมอญ และเราไม่จำเป็นต้องเดินทางกลางคืนท่ามกลางป่าพงดงไพรเขตปกครองของทหารกะเหรี่ยงแบบนี้ (กะเหรี่ยงถืออาวุธมีหลายกลุ่ม)  ช่วงที่รถนำขบวนเรามาทางลัดผมพูดกับ “อะโก” คนขับรถตลอดว่าทำไมถนนหนทางขรุขระไม่คุ้นเลย สองข้างทางก็ไร้ชุมชนบ้านคนอาศัย มีแต่ป่า เพราะหากเป็นเส้นสายปกติเมืองเมียวดี – เมาะลำเลิง ผมมักคุ้นเคยเพราะเดินทางบ่อย อะโกบอกว่า ถนนปกติรถติดและน้ำท่วมรถเล็กไม่สามารถไปได้ ต้องใช้ทางลัดแบบนี้ ในชีวิตผมเคยเจออุบัติเหตุรถชนสองครั้ง เวลานั่งรถจึงนอนไม่หลับ จึงชวนอะโก ซึ่งพูดไทยได้ ผมฟังออกมั่งไม่ออกมั่งเป็นระยะ ๆ  ในขณะที่คนบนรถทั้งพระที่นั่งด้านหน้าเริ่มมีเสียงกรนแล้ว ส่วนด้านท้ายที่นั่งอัดมาเบาะหลังพร้อมกับสิ่งของบริจาคและเงินพม่าเป็นถุงปุ๋ยคือ นายกสมาคมการค้าไทย -เมียนมา คุณสุวรรณิสา แน่งน้อย เธอคงนั่ง ๆหลับ ๆ ตื่น ๆ เพราะส่งเสียงมาเป็นระยะ ๆ ว่าถึงไหนแล้ว อะโกขับรถไหวไหม เพราะตลอดทั้งวันอะโก เป็นตัวหลักในการวิ่งประสานหารถ ประสานกับทางการพม่าเพื่อนำของบริจาคเข้ามายังรัฐมอญ

            ต่อจากตอนที่แล้ว..ในขณะที่ผมเจอคนถืออาวุธสองคนหน้าตาขึงขัง (ความจริงในป่ามึด ๆ คงซุ่มมีอีก)  ชายคนหนึ่งคุมเชิงอยู่ข้าง ๆ พร้อมถืออาวุธปืนหากเดาไม่ผิดคือปืนอาก้า พร้อมลั่นไก คนที่โบกรถให้จอดส่งเสียงถามด้วยน้ำเสียงดุดันขอค้นรถด้วยหน้าตาตาดุ ๆ ตื่น ๆ ส่องไฟฉายมาที่รถ ผ่านพระและผมเข้ามาและถามอะโกว่าไปไหน มากี่คน ประมาณนี้ โชคดีว่าอะโกตอบได้อย่างฉะฉานว่า นำสิ่งของไปบริจาคมาด้วยกัน 4 คัน  พร้อมกับชี้ป้ายที่เราติดไว้ด้านหน้ากระโปรงรถ ชายคนนั่นมองมาที่พระ พระส่งเสียงพม่าได้ ความดุดันจึงหายไป เดินจากรถไปตรวจรถด้านหลังต่อ ผมนั่งนิ่งได้แต่ภาวนาพุทโธ ๆ  ผ่านไปสักพักถามอะโกว่า เคยเจอแบบนี้ไหม เป็นทหารหรือโจร อะโกบอกว่าไม่มีอะไร หากเราโชคร้ายสุ ดเขาคงขอเพียงค่าผ่านทาง แต่ไม่รู้ว่าเป็นทหารหรือใคร เป็นคนกลุ่มไหน  ส่วนนายกสมาคมการค้าไทย – เมียนมา ตอนหลังทราบว่าเธอตกใจพูดอะไรไม่ออกเหมือนผม

       ผมนั่งคิดจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ท่ามกลางเส้นทางที่มึด ท่ามกลางป่า บางทีก็แค้นรถนำ บางคราวก็คิดเลยเถิดไปว่า หากพวกเราถูกจับไปเรียกค่าไถ่หรือปล้นแล้ว เราในฐานะคนไทยเข้าเมืองถูกต้อง ทางการไทยจะตามถูกไหม เพราะมันเป็นเขตปกครองของชนกลุ่มน้อย น่าจะเลยเขตอำนาจทหารพม่า คงประสานกันยาก  บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า “เรามาทำอะไรท่ามกลางป่านี้  ลูกเมียตอนนี้คงหลับแล้ว นึกถึงหน้าตาลูกน้อย ๆ ทั่ง 3 คน พร้อมภรรยา สมมติเราเป็นอะไรไป พวกเธอเหล่านี้จะอยู่อย่างไร หากตอนนี้เราไม่มาคงนอนอยู่บนฟูกที่นุ่ม ๆ  นอนห้องแอร์สบาย ๆ พร้อมลูก ๆ  แต่ทำไมต้องมาลำบากแบบนี้..”

           ชีวิตผู้นำครอบครัวแบบผมเวลาเฉียดตาย (คิดไปเอง) แบบนี้มักนึกถึงครอบครัวเป็นสิ่งแรก ต่อมาก็คือ ถามตัวเอง “เรามาทำไม มาทำอะไร มาเพื่ออะไร ” สุดท้ายงานจิตอาสาแบบนี้ตอบไม่ถูกนอกจากคิดในใจว่า “เพราะสงสารคนที่ประสบภัยน้ำท่วม” ยิ่งเกิดในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันแล้ว ความรักในเผ่าพันธุ์ตนเองยิ่งทวีความรุนแรง และยิ่งรู้ว่าภาครัฐไม่สามารถเอื้อมมือช่วยถึง ยิ่งต้องการนำสิ่งของบริจาคไปช่วยเหลือไวไว

            สุดท้าย ผมได้แต่ท่องบทอิติปิโสสงบจิตใจ ตลอดทาง ท่ามกลางฝนตกพรำ ๆ รถแล่นไปมาบนถนนที่ขรุขระดังดวงจันทร์  แต่แล้วก็เจอปัญหาใหม่ผุดมาอีก..คืออะโก เริ่มขับรถเป๋ เหยียบเบรคยาว ๆ  อาการแบบนี้เขาเรียกว่า “จะหลับใน”  รถคันหลังบิดแตรให้อะโกหยุดแล้วถามว่า ขับไหวไหม อะโกบอกว่าไหว ขับไปอีกสักระยะอาการเริ่มออกอีก..ผมได้แต่นั่งนึกในใจว่า หากเกิดอุบัติเหตุ คงบาดเจ็บไม่มาก เพราะรถขับช้า แต่พระคุณเจ้าข้างหน้าผมนี้ หากผมไม่กอดรัดเวลารถเบรคหรือรถทิ่มลงข้างทาง พระคุณเจ้าคงหัวแตกหรือไม่ก็กระดูกหักแน่ ๆ  เพราะนอนกรนมาตลอดทาง แต่สุดท้าย โชคดีเราถึงที่เป้าหมายคือ มหาวิทยาลัยรามัญญะรัฎฐะ เมืองเมาะลำเลิง รัฐมอญ ประเทศเมียนมา โดยสวัสดิภาพตอนประมาณ 04.00 น. เราออกเดินทางจากเมียวดีถึงเมาะลำเลิงใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 10 ชั่วโมง ในขณะที่เหตุการณ์ปกติใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง ..วันนี้เรามีนัดรวมพลกัน 12.00 น. ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์แห่งคณะสงฆ์รามัญนิกายแห่งนี้ แต่แล้วไม่เป็นไปตามนัดเพราะรถนำสิ่งของบริจาคมาเวลา 07.00 น. ทำให้คณะเราต้องเร่งขนของลงจากรถ บรรจุสิ่งของบริจาค วางแผนไปสถานที่บริจาค ซึ่งวันนี้คณะเราตั้งใจไว้ว่าไป 2 จุด คือที่ภูเขาถล่มซึ่งคนมุสลิมเสียชีวิตหลายสิบชีวิต และพระภิกษุมรณภาพด้วย 1 รูป อีกจุดหมู่บ้านที่เจอภูเขาถล่ม

            ฉบับหน้าเล่าต่อหลังจากกลับมาจากบริจาคสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมวันแรก “ของบริจาคที่เก็บไว้แจกวันต่อไป หายไปเกือบเกลี้ยง”  เกิดอะไรขึ้น โปรดติดตามต่อไปครับ..

 

Leave a Reply