ยุวสงฆ์ปลดแอก -ทนายโต้ “พระ 2 รูป ถูกบังคับให้สึก” พร้อมเปิดจดหมายลายมือยืนยัน

           หลังจากเช้าตรู่วานนี้ ( 29 มี.ค.64)  เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทวงคืนพื้นที่ “หมู่บ้านทะลุฟ้า” บริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ชุมนุมกลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้แกนนำและมวลชนของกลุ่ม, ยกเลิก ม.112, เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และ นายกฯ ต้องลาออก

           ซึ่งจากการขอพื้นที่คืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งมีพระภิกษุร่วมอยู่ด้วย 2 รูป และถูกนำตัวไปจับสึก ณ วัดเบญจมบพิตร

          มติชนออนไลน์ อ้างคำพูดของ พระมหาสมชาย ปัญญาภารโน เลขานุการเจ้าคณะแขวงดุสิต ว่า ภิกษุสึกแล้ว 2 รูป โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนิมนต์มาที่วัดเบญจมบพิตรตั้งแต่ราว 06.00 น. ต่อมาเวลาประมาณ 09.00 น. มีการโทรศัพท์ติดต่อต้นสังกัด โดยได้รับแจ้งว่าไม่รับรองสถานะของภิกษุทั้ง 2 รูป ไม่ต้องพากลับไปที่วัด การดำเนินการให้ขึ้นกับเจ้าหน้าที่หรือพระวินยาธิการจะจัดการร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

        “ในเมื่อต้นสังกัดไม่รับรองแล้ว ถือเป็นภิกษุเร่ร่อน ก็ต้องนิมนต์สึก ไม่ได้มีการจับกระชากสึก แต่สึกด้วยความสมัครใจ เนื่องจากไม่มีต้นสังกัด” เลขานุการเจ้าคณะแขวงดุสิตกล่าว

        พระมหาสมชายกล่าวด้วยว่า การดำเนินการดังกล่าว ร่วมกับพระครูพิทักษ์รัตนวงศ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตร พระครูสีลวิมลรัตน์ เจ้าคณะแขวงถนนนครไชยศรี เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน รวมถึงพระวินยาธิการเขตดุสิต

        ในขณะที่ “ทนายความ” ของพระภิกษุทั้ง 2 รูป ได้เปิดเผยจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของพระภิกษุผู้ถูกดำเนินคดี อ้างว่า พระภิกษุทั้ง 2 รูป “ถูกบังคับให้ถอดจีวร บังคับให้สึกท่าน” โดยมีข้อความเขียนบันทึกไว้เป็นหลักฐานตามนี้

 

        ทางด้าน ‘พระเอิร์ธ’  แกนนำของคณะยุวสงฆ์ปลดแอก หรือ คณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนาใหม่ ได้ส่งสารถึง มหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และตำรวจควบคุมฝูงชน ผ่านเว็บไซต์ประชาไท ว่า

   เขามาร่วมชุมนุมเพราะอยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ “แยกศาสนาออกจากรัฐ” ไม่ผูกขาดการตีความทางศาสนาและเน้นย้ำเสรีภาพของศาสนา ไม่ใช่เอาไว้เพื่อสนับสนุนรัฐเท่านั้น

    การจับกุมพระภิกษุในหมู่บ้านทะลุฟ้าเมื่อช่วงเช้า “พระทั้งสองรูปไม่ได้กล่าวคำสึก แต่โดนกระชากผ้าเหลืองออก..” กฎต่าง ๆ ไม่ว่าจะจากเถรสมาคมหรือสำนักพุทธฯ หรือการใช้อำนาจของรัฐผ่านสองหน่วยงานข้างต้นคือการใช้อำนาจรัฐในการควบคุมศาสนา ทำให้ศาสนาขึ้นตรงต่อรัฐ เป็นศาสนจักรของรัฐ อำนาจการตีความก็เป็นของรัฐ คนอื่นตีความต่างไปจากรัฐไม่ได้ รัฐก็ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม เช่น มีการสวดมนต์เฉลิมพระเกียรติ หรือการเทศน์ที่ส่งเสริมให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น แต่ถ้ามีพระที่ออกมาเรียกร้องสิทธิหรือปลดแอกเสรีภาพให้ศาสนา พระเหล่านั้นโดนกำจัดทั้งสิ้น เช่น สามเณรโฟล์คที่ตอนนี้ไม่รู้จำวัดที่ไหน หรือพระสองรูปข้างต้น

        พระเอิร์ธมีความเห็นฝากไปยังตำรวจที่กำลังจะเข้าสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าดังนี้

       “ช่วยมองพวกเราว่าคือคนเช่นกัน พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ก็เหมือนบ้านหลังหนึ่งที่พวกเขาต้องการจำนวนพื้นที่ที่มากกว่านี้ จำนวนพื้นที่ของคนมากมาย รัฐให้พื้นที่เสมือนแค่เท่าห้องน้ำ แน่นอนว่ามันอยู่ไม่ได้ถ้าคนจำนวนมากจะอยู่ในห้องน้ำ เปรียบเทียบกับบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาต้องการพื้นที่มากกว่านี้ พวกเขาต้องการเสรีภาพในการแสดงออก พวกเขาต้องการเสรีภาพในการพูด พวกเขาต้องการปฏิรูปสถาบันที่ทำให้ไม่เบียดกันไปมากกว่านี้ พวกเขาไมไ่ดต้องการที่จะล้มล้าง พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้”

       ถึงแม้เราไม่ได้รักกัน ถึงแม้เราจะเกลียดกัน แต่เราสามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยบทบาทที่มีความเท่าเทียมกัน” พระเอิร์ธกล่าว

Leave a Reply