ทนาย “หลวงพี่น้ำฝน” ฟ้องคดีอาญาทั้ง “จาตุรงค์” และ บิ๊กสื่อช่องดัง” ผู้ประกาศข่าว โดนด้วย

วันนี้ 22 ส.ค. 66   ที่วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ทนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ไวยาวัจกรวัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เผยว่าวันนี้ตนเองได้เดินทางไปยังศาลจังหวัดนครปฐม เพื่อยื่นเรื่องฟ้องคดีอาญา ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กับ นายจาตุรงค์ จงอาษา จำเลยที่ 1 บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด จำเลยที่ 2 นางเมตตา อุทกะพันธ์ จำเลยที่ 3 นางระริน อุทกะพันธุ์ จำเลยที่ 4 นายชีวพัฒน์ ณ ถลาง จำเลยที่ 5 นายนรรัตน์ ลิ่มนรรัตน์ จำเลยที่ 6 นายกำพล ปุญโสณี จำเลยที่ 7 นายศิริ บุญพิทักษ์เกศ จำเลยที่ 8 นายนภจรส ใจเกษม จำเลยที่ 9 นางสาวฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ ที่ 10 จากกรณี การโพสต์ข้อความบนสื่อออนไลน์และการนำเสนอข่าว ออกสื่อโทรทัศน์ รายการทุบโต๊ะข่าว ช่องอัมทร์ 34 โดยมีเนื้อหาเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และการดูหมิ่นพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กรณีการจัดพิธีเปลี่ยนผ้าครองสรีรสังขารหลวงพ่อพูล อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม

ทนายศุภภัทร์พจน์ เผยว่า สำหรับการฟ้องร้องดำเนินคดีดังกล่าว ที่มีจำเลยมากถึง 10 ราย ซึ่งรวมไปถึงผู้บริหารสถานีโทรทัศน์และผู้ประกาศข่าวชื่อดัง สืบเนื่องจากจำเลยที่ 1 นายจตุรงค์ จงอาษา เป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อ “Jaturong Mantaso Jongarsa” เปิดเป็นสาธารณะ มีผู้ติดตาม จำนวน 42,597 คน โดยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 66 ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กความว่า“อีน้ำฝน??เอาศพพระมาเปลี่ยนกายให้สตรีลูบเล่น แบบนี้เรียกว่าอนาจารศพรึเปล่าคะ?? ผิดกฎหมายไหมคะ?? ละอายไหมคะ?? ตำรวจพรวยหัวคะ?? จับสึกตัวมึงเองก่อนสิคะ??” เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามและด้อยค่าความเป็นพระและการใช้ถ้อยคำดังกล่าวไม่เหมาะสมและไม่ควรอย่างยิ่งที่ชาวพุทธจะนำมาใช้เรียกชื่อพระภิกษุ และเจ้าตัวก็ได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนว่าเป็นนักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา จึงควรวางตัวให้เหมาะสมกับการยอมรับในสังคม ซึ่งประเด็นมาจากการที่วัดไผ่ล้อมได้มีการจัดพิธีเปลี่ยนผ้าครองสรีระสังขาร หลวงพ่อพูล อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามาร่วมในพิธีการซึ่งเป็นการจัดพิธีมายาวนานถึง 18 ปี เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีนี้เคยมีการฟ้องร้องไปก่อนหน้าแล้ว แต่ก็มาพบว่านายจาตุรงค์ ได้มีการโพสต์ข้อความบนสื่อออนไลน์และให้สัมภาษณ์กับสื่อโทรทัศน์ ดูแล้วไม่ได้เป็นการวิจารณ์ที่สังคมไม่ได้ประโยชน์อะไรและมีหลายข้อความในการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทอีก นำมาซึ่งการฟ้องในวันนี้ และการให้สัมภาษณ์ทางสื่อทีวี ซึ่งผู้บริหาร ผู้ประกาศและบรรณาธิการต้องตรวจสอบในเรื่องของการให้ข่าวที่บิดเบือน ข่าวที่หมิ่นประมาท ซึ่งต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วยและในส่วนของบริษัทผู้ผลิตรายการ ซึ่งกรรมการผู้มีอำนาจต้องควบคุมต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมจึงต้องมีการฟ้องร้องร่วมไปด้วยทำให้มีผู้ที่ต้องฟ้องร้องถึง 10 ราย

“ทำไมจึงต้องฟ้องนายจาตุรงค์ ซึ่งดูจากเฟซบุ๊กแล้ว เห็นเนื้อหาแล้วมีการเช๊คอินมาที่วัดไผ่ล้อมด้วย ซึ่งเนื้อหาติเพื่อก่อหรือไม่ หากทำเพื่อก่อเรารับฟังซึ่งหลวงพี่น้ำฝนก็รับฟัง แต่เนื้อหาเป็นการดูหมิ่นถึงหลวงพี่น้ำฝนชัดเจน สังคมโดยรวมได้อะไรประชาชนลองพิจารณาดู และยังมีการให้ข้อมูลว่าหากพระสงฆ์ฟ้องร้องจะต้องอาบัติซึ่งสิ่งที่ทำวันนี้คือการปกป้องสิทธิ์ ซึ่งภาษาที่พูดกับโพสต์ออกมาใช้กับประชาชนก็ยังไม่ได้ และเป็นการฟ้องครั้งที่ 2 ต่อโทษจากคดีที่แล้วด้วย ซึ่งหากกระทำอีกก็จะฟ้องร้องอีกเป็นแต่ละกรรมกันไป และบางคนใช้คำว่านักวิชาการทางด้านพระพุทธศาสนา ใครเป็นคนแต่งตั้งให้ ใช้วุฒิการศึกษาอะไร ก็ขอฝากถามด้วย” ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าว

ทนายศุภภัทร์พจน์ กล่าวปิดท้ายว่า สำหรับคดีที่ได้ฟ้องนายไพรวัลย์ (แพรรี่) กับนายจาตุรงค์ พร้อมกับสื่อและพิธีกรดังก่อนหน้าในคดีหมิ่นประมาทเหมือนกัน ศาลจังหวัดนนครปฐม ได้นัดไกล่เกลี่ยวันที่ 14 กันยายนนี้ และนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 25 กันยายน โดยมีบางคนที่รู้เท่าไม่ถึงการได้เข้าติดต่อมาเพื่อเจรจากันแล้ว แต่ก็ขอให้อยู่ในชั้นต่อไป ซึ่งการฟ้องร้องไม่ใช่แค่ปกป้องสิทธิ์ของหลวงพี่น้ำฝน แต่ยังปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาย่ำยีอีก

ที่มา : ผู้จัดการ

Leave a Reply