“อดีตไวยาวัจกร” ขอขมา “เจ้าอาวาสวัดสุทธิฯ” หลังเจอข้อหาโพสต์หมิ่น!!

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 นายชาญณรงค์ เพียรดี อดีตไวยาวัจกรวัดสุทธิวราราม ได้นำพานดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมา พระสุธีรัตนบัณฑิต(สุทิตย์ อาภากโร) เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ท่ามกลางทีมทนายกองทัพธรรม นำทีมโดยทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ,ดร.ประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิฯ ,ดร.ประกาย ณ สงขลา เลขาธิการมูลนิธิฯ ,นายเมธัส ผลประเสริฐ ทนายมูลนิธิทนายกองทัพธรรม ร่วมเป็นสักขีพยาน

หลังจากที่นายชาญณรงค์ ซึ่งเป็นเจ้าของเพจเฟซบุ๊ก ได้ถูกทนายกองทัพธรรม นำทีมโดยทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ซึ่งได้มอบอำนาจจากพระสุธีรัตนบัณฑิต ให้ยื่นฟ้องในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากอดีตไวยาวัจกรรายนี้ ได้สร้างเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวขึ้นมา และเขียนบทความต่างๆ และภาพประกอบกล่าวหาใส่ร้ายพระสุธีรัตนบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 จนถึงปี 2565 กว่า 37 ครั้ง ผ่านสื่อออนไลน์และสื่อมวลชนต่าง ๆ ทำให้พระสุธีรัตนบัณฑิต และคณะสงฆ์ได้รับความเสียหาย

ต่อมาศาลได้นัดสืบพยานหลักฐาน โดยอดีตไวยาวัจกรคนนี้ ได้เบิกความยอมรับสารภาพว่า กระทำความผิดตามที่ฟ้องจริง ศาลจึงได้นัดฟังคำพิพากษาในเวลา 09.00 น. วันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา

โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่างกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด จำคุกกระทงละ 2 เดือน ปรับ 3,000 บาท รวม 37 กระทง เป็นจำคุก 74 เดือน ปรับ 111,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 1 เดือน ปรับ 1,500 บาท เป็นจำคุก 37 เดือน ปรับ 55,000 บาท

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่า ภายหลังจากเกิดเหตุจำเลยสำนึกในการกระทำของตนเอง โดยให้การรับสารภาพ และลบบัญชีเฟซบุ๊กของจำเลยที่กล่าวถึงโจทก์ และวัดสุทธิวราราม โดยจำเลยตกลงที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง โดยกล่าวขอโทษโจทก์ผ่านสื่อมวลชน อันเป็นการพยายามบรรเทาผลอันเกิดจากการกระทำในคดีนี้ การลงโทษจำคุกระยะสั้นไม่ก่อผลดีต่อจำเลย และสังคม โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญา 2 ปี ส่วนค่าปรับ จำเลยไม่สามารถชำระได้ จึงให้บำเพ็ญประโยชน์แทนค่าปรับ และให้ขอขมาโจทก์ตามที่ตกลงกันไว้

ในเมื่อนายชาญณรงค์ ได้รับสารภาพว่า เรื่องที่กล่าวหาทั้งหมดไม่มีมูลความจริง เป็นการให้ร้าย หรือร้องเรียนอันเป็นเท็จ ได้สำนึกผิดในสิ่งที่ตนเองได้กระทำไป และได้ไปยื่นถอนเรื่องร้องเรียนยังหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ไปยื่นร้องเรียนไว้เรียบร้อยแล้ว และกล่าวขอขมาลาโทษต่อพระสุธีรัตนบัณฑิต ซึ่งท่านก็ให้อภัยเป็นธรรมทาน คือ การสละอารมณ์โกรธเป็นทาน ให้อภัย ไม่จองเวร สละอารมณ์โกรธพยาบาทให้ขาดออกจากใจ เป็นการเจริญเมตตาพรหมวิหาร ซึ่งถือเป็นทานสูงสุด ตามพุทธพจน์ที่ว่า เวรของผู้ไม่จองเวร ย่อมระงับได้ และเวรย่อมระงับด้วยไม่มีเวรต่อกันและกัน จึงขออนุโมทนาบุญ กับพระสุธีรัตนบัณฑิต มา ณ โอกาสนี้

Leave a Reply