ฉายาพระภิกษุสงฆ์ปี’64

การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี หรือ การตั้งฉายานักการเมืองประจำรัฐสภาหรือแม้กระทั้งวงการ ทหาร ตำรวจ ดารา ของผู้สื่อข่าว ถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติสืบต่อกันมาและถือเป็นปกติธรรมดาของสื่อมวลชนเพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของตัวแทนประชาชนและบุคคลสาธารณะ  โดยมิได้มีอคติ หรือเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ใดผู้หนึ่งไม่

การตั้งฉายาให้พระภิกษุสงฆ์ ปีนี้เป็นปีที่ 2 ของคนข่าวศาสนา และพวกเราในฐานะสื่อมวลชนศาสนา การตั้งฉายาให้กับพระภิกษุสงฆ์ มิได้เกิดจากความไม่เคารพไม่นับถือ หรือ ไม่ศรัทธาหรือมีเจตนาล่วงละเมิดแต่ประการใดไม่ สื่อมวลชนในกองบรรณาธิการของเราทุกคนล้วนเป็นพุทธศาสนิกชน บางคนเป็นมหาเปรียญด้วยซ้ำไป

การตั้งฉายาของพระภิกษุในปีนี้ เน้น พระสงฆ์ที่มีอิทธิพลการบริหารกิจการคณะสงฆ์ อาจมีบางรูปที่นำขึ้นมาเป็นกรณีเฉพาะที่กองบรรณาธิการเห็นว่า ได้สร้างปรากฎใหม่แก่วงการชาวพุทธที่ควรยกย่อง  โดยเน้นจากปรากฏการณ์ข่าวของพระภิกษุรูปนั่น ๆ  ทั้งในสื่อหลัก สื่อออนไลน์ และคำบอกเล่าปากต่อปากจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ รวมทั้งสำรวจจากนักวิชาการชาวพุทธ คนเคยบวชเรียน  หากกระทบถึงจิตใจของพระคุณเจ้ารูปใด ทางกองบรรณาธิการ “thebuddh” ขอกราบประทานอภัยล่วงหน้ามา ณ โอกาสนี้

สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่มีข่าวในรอบปีมีหลายสิบรูป กองบรรณาธิการ คัดเลือกเฉพาะ 10  รูปที่เป็นบุคคลในข่าวและยังครองสมณเพศอยู่ พร้อมกับฉายา 10 ฉายาแห่งปี’64  ซึ่งมีพระภิกษุตั้งแต่ระดับสมเด็จพระราชาคณะ จนถึง พระหลวงตา โดยเรียงจากพระภิกษุที่กล่าวถูกข่าวขาน จากมากไปหาน้อย  ดังปรากฎรายนามดังต่อไปนี้

1.เจ้าไร้ศาล

“พระครูเล็ก” หรือ พระครูสุทธิญาณโสภณ  เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) รูปใหม่ แม้จะรับพระบัญชาให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564  แต่กระแสต่อต้านในพื้นที่ในจังหวัดกาฬสินธุ์ยังมีต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความร้าวฉานในคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายสายวัดป่า แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน การคัดค้านพระครูเล็กเข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ผลคือ เจ้าคณะอำเภอ 13 เขตการปกครอง ลาออกทั้งหมด รวมทั้งเจ้าคณะตำบล 41 ตำบล ลาออกทั้ง 41 ตำบลเช่นกัน

นับตั้งแต่รับพระบัญชาเป็นเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ พระครูเล็ก หรือ พระครูสุทธิญาณโสภณ  ยังไม่สามารถเข้าไปจำวัดอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์วัดใดวัดหนึ่งได้  เนื่องจากถูกคณะสงฆ์ประกาศลง อุกเขปนียกรรมและถูกประชาชน “ขับไล่” ทุกที่ที่รู้ว่าพระครูเล็กเข้าไป..

ด้วยเหตุนี้ พระครูสุทธิญาณโสภณ  หรือ “พระครูเล็ก” จึงควรได้รับฉายาว่า  “เจ้าไร้ศาล”

 2.สมเด็จสายล่อฟ้า

     “สมเด็จธงชัย” หรือ สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี  กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เส้นทางชีวิตเติบโตมาจาก “นักปลูกเสก”  ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าในวิถีชีวิตสมณเพศของท่าน จะก้าวหน้าขึ้นมาครองตำแหน่ง “เจ้าคณะใหญ่หนกลาง” ซึ่งปกครองคณะสงฆ์ในเขต “หนกลาง” ที่ถือกันว่าเป็นเขตปกครองคณะสงฆ์ชั้น  “เกรดเอ”  ได้

     การขึ้นมาครองตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลางของสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนีเป็นที่ “กังขาและจับตา” ของคณะสงฆ์อย่างมาก เนื่องจากสมเด็จธงชัย ไม่เคยผ่านงานบริหารกิจการคณะสงฆ์มาก่อน ไม่มีประสบการณ์บริหารองค์กรใหญ่ ๆ และด้วยบุคลิกเป็นคน “ตรงไปตรงมา ปากตรงกับใจ ถึงลูกถึงคน”  ในฐานะเจ้าคณะใหญ่หนกลาง หลายเรื่องสมเด็จธงชัยคือ ผู้ชี้ชะตาการปกครองคณะสงฆ์ และหลายเรื่องถูกอ้างชื่อมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การปลดเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี,การตั้งเจ้าอาวาสพระรามหลวงในเมืองกรุง หรือแม้กระทั้งการห้ามอดีตกรรมการมหาเถรสมาคมและคณะที่ติดคุกกรณีเงินทอนวัดกลับมาห่มจีวร ซึ่งถูกสังคมชาวพุทธวิจารณ์ว่า การห้ามของสมเด็จธงชัย ไม่คำนึง พระวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ และตามกฎ “นิคหกรรม”   ทุกย่างก้าว ทุกคำพูดของ “สมเด็จธงชัย” ล้วนถูกจับตาแล้วก่อให้เกิดประเด็นทุกครั้ง

    ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือ “สมเด็จธงชัย”  จึงควรได้รับฉายาว่า “สมเด็จสายล่อฟ้า”

   3.ขงเบ้งเรียก “ป๋า”

       “สมเด็จธีร์” หรือ สมเด็จพระมหาธีราจารย์  กรรมการมหาเถรสมาคม, ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์,ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ เส้นทางชีวิตเติบโตมาคล้ายคลึงกับสมเด็จธงชัย เพียงแต่ “สมเด็จธีร์”  เป็น “พระหมอดู”  จึงมีนักการเมือง  ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจ วิ่งเข้าหาบันไดกุฎิมิเคยแห้งซ้ำมีคอนเนคชั่นที่ดีกับ “บุคคลชั้นสูง”

      บุคลิกเป็นคน “ยิ้มแย้มแจ่มใส อ่อนโยน พูดจานิ่มนวล” ประเภทน้ำนิ่งไหลลึก มีประสบการณ์เผยแผ่ศาสนาอยูในประเทศสหรัฐอเมริกายาวนาน

      ไม่ว่าการขึ้นสู่สมณศักดิ์ชั้น “สมเด็จ” การเข้าไปเป็น “กรรมการมหาเถรสมาคม” การเข้าไปครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือ “วัดโพธิ์” ซึ่งเป็น “วัดหลวงอันหนึ่ง” ของไทย หมากนี้ถือว่า “ชั้นเซียน” เนื่องจาก “สมเด็จธีร์” เป็นพระภิกษุที่ไม่ได้เป็นชั้น “เปรียญเอก” และกระโดดมาจาก วัดยานนาวา แม้จะเป็น “พระอารามหลวง” แต่ไม่ถือว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงแต่ประการใด   ซ้ำการเข้ามาครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ไม่มีแรงกระเพื่อมใด ๆ จากคณะสงฆ์ภายในวัด ยิ่งตอนหลังตบรางวัลให้พระสังฆาธิการภายในวัด “อิ่มหมีพีมันสำราญ” กันถ้วนหน้า

      นอกจากวางหมากพลาดเรื่อง “สีจีวร” ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามในฐานะ “พี่ใหญ่” ฝ่ายมหานิกายแล้ว ไม่มีมลทินใด ๆ ให้กล่าวถึง

     ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์หรือ “สมเด็จธีร์” ทุกจังหวะที่ย่างก้าว ทุกหมากที่ก้าวเดิน มีความผิดพลาดน้อย  จึงควรได้รับฉายาว่า “ขงเบ้งเรียกป๋า”

  4.“เด็กเส้น” ไร้คนแล

      “เจ้าคุณสมศักดิ์” หรือ พระธรรมรัตนาภรณ์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต จ.ปทุมธานี เป็นพระสายสายตรง “สมเด็จชิน” หรือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งปีที่แล้วเว็บไซต์ข่าว Thebuddh”ได้ตั้งฉายาแห่งปีให้สมเด็จชินว่า “สังฆราชน้อย”

      “เจ้าคุณสมศักดิ์”  ได้สนองงานคณะสงฆ์ภายใต้การกำกับของ “สมเด็จชิน” ในฐานะตำแหน่งประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการ วัด ประชารัฐ สร้างสุข  ซึ่งมีผลงานเข้าถึงคณะสงฆ์และประชาชนอย่างกว้างขวาง ด้วยการมีกองหนุนอันสรงพลังจาก วัดพระธรรมกาย 

        แต่แล้วจู่ ๆ “เจ้าคุณสมศักดิ์” ถูกปลดจากเจ้าคณะจังหวัดแบบ “ฟ้าผ่า” ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในคณะสงฆ์ภาคกลางและจังหวัดปทุมธานี แม้กระทั้ง “เจ้านาย” สายตรงต่างนิกายอย่าง “สมเด็จชิน” ก็ไม่อาจเอื้อมมือเข้าช่วยมาได้ ประตูวัดที่ไม่เคยปิด บันไดที่ไม่เคยแห้งยุคนี้ “ฝุ่น” เริ่มเกาะ

      “เจ้าคุณสมศักดิ์”  จึงตกอยู่ในสถานการณ์ “เมื่อมั่งมีมากมายมิตรหมายมอง,เมื่อหม่นหมองมิตรมองเหมือนหมูหมา,เมื่อไม่มีมิตรมุ่งมองมา,เมื่อมอดม้วยแม้นหมูหมาก็ไม่มามอง”

       ด้วยเหตุนี้ พระธรรมรัตนาภรณ์ หรือ “เจ้าคุณสมศักดิ์” จึงควรได้รับฉายาว่า  “เด็กเส้น..ไร้คนแล”

5. ดาว..แปรพักตร์

     “เจ้าคุณพิพิธ” หรือ พระเทพปฏิภาณวาที ยุคหนึ่งคือ “ดาวเด่น” ในวงการคณะสงฆ์ ยุคหนึ่งคือตัวแทนของคณะสงฆ์  ด้วยจากเป็นนักพูด นักเขียน มีอุดมการณ์ชัดเห็นความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามหลักการ จะแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อ ผ่านบทกวีเตือนสติผู้มีอำนาจและสังคม เสมอมา

     ในยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มักแสดงความคิดเห็นวิพากษ์ วิจารณ์ บ่อยจนมีข่าวว่า “ถูกตักเตือน” จนเงียบหายไปจากหน้าสื่อ

     ปรากฏหน้าสื่ออีกครั้งหลังเกิดปรากฎการณ์  “2 พส.”  ด้วยการกลายเป็น “องครักษ์พิทักษ์” มหาเถรสมาคม จนมีคนสงสัยว่า ดาวเด่น ดวงนี้ “เปลี่ยนไป” จากอุดมการณ์เดิมที่เคย..ยึดถือ

     ด้วยเหตุนี้ พระเทพปฎิภาณวาที หรือ “เจ้าคุณพิพิธ” จึงควรได้รับฉายาว่า  “ดาวแปรพักตร์”

6.  เจ้าสำนักหลากสี

      “เจ้าคุณพิมพ์” หรือ พระพรหมเสนาบดี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร  ถือว่าเป็น “มือทำงาน” ของคณะสงฆ์ เส้นทางชีวิตเติบโตมาตั้งแต่ “สมเด็จเกี่ยว” สู่ “สมเด็จช่วง” ในฐานะประธานโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จวบจนกระทั้งขึ้นก้าวสู่ “กรรมการมหาเถรสมาคม” และมีสมณศักดิ์ชั้น “รองสมเด็จ” ครั้งหนึ่งเคยติดโผดำรงตำแหน่ง “เจ้าคณะใหญ่หนใต้” ด้วย

     ด้วยบุคลิกเป็นพระทำงาน เข้าได้กับทุกฝ่าย อาสาทำงานให้กับผู้บังคับบัญชาประเภท “ใจถึง พึ่งได้” เป็นนักประนีประนอม ตอนอดีตพระพรหมสิทธิครองจีวรใหม่แม้จะถูกพระผู้ใหญ่ระดับ “สมเด็จ” ห้ามเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังมีข่าวว่ายัง “ห่วงใยกันอยู่”  เข้าทำนองที่ว่า “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” เป็นมิตรกับทุกฝ่าย ทุกสี ทุกระดับชั้น

    ด้วยเหตุนี้ พระพรหมเสนาบดี หรือ “เจ้าคุณพิมพ์” จึงควรได้รับฉายาว่า  “เจ้าสำนักหลากสี”

7.ลูกเมียน้อย..คอยความรัก

“เจ้าคุณสุวิทย์” หรือ พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก  ได้รับพระราชทานทุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยลอนดอนประเทศอังกฤษ เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการตั้งศูนย์พุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด

 “เจ้าคุณสุวิทย์”  เป็นพระนักวิชาการรุ่นใหม่ มีผลงานมากมาย ถือว่าเป็น “เพชรเม็ดงาม” ของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เมื่อ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร  ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช  “พระมหาสุวิทย์” ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ช่วยเลขานุการเทียบคู่มากับ “พระนิลมาน” ปัจจุบัน “พระนิลมาน” ครองสมณศักดิ์ที่  “พระธรรมศากยวงศ์วิสุทธิ์” เป็นเจ้าคณะภาคและดำรงตำแหน่ง “รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ” ของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยด้วย ในขณะที่เจ้าคุณสุวิทย์ยังมุ่งมั่นทำงานรับใช้ “พระพุทธเจ้า” อยู่ต่อเนื่องด้วยการเผยแผ่ศาสนาและ “สร้างศาสนทายาท”

 “เจ้าคุณสุวิทย์”  เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่เห็น “ภัยต่างศาสนา” ที่มากระทบกับความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคณะสงฆ์มหานิกายจนมีข่าวว่าขัดหูขัดตา “ห้องกระจก” ข้อหา “ฝักใฝ่มหานิกาย”  จนต้องเร่ร่อน เคยถูกเสนอให้เป็น “โฆษกมส.” แต่ถูกขัด ขวาง ซ้ำมีคำกล่าวขานกันว่าเมื่อคราวที่ “สมเด็จพระมหาธีราจารย์” มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดยานนาวา “เจ้าคุณสุวิทย์” หรือ พระราชญาณกวี มีส่วนร่วมในการผลักดันมิใช่น้อย

 ด้วยเหตุนี้ พระราชญาณกวี หรือ“เจ้าคุณสุวิทย์”จึงควรได้รับฉายาว่า “ลูกเมียน้อย..คอยความรัก”

8.  มส.ม้ามืด

    “เจ้าคุณโสภณ” หรือ พระเทพคุณาภรณ์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 13  เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร ได้รับโปรดฯเกล้าเป็น “กรรมการมหาเถรสมาคม” ล่าสุด ท่ามกลางโผก่อนหน้านี้ว่า จะมีพระภิกษุที่มีสมณศักดิ์ “ชั้นธรรมและรองสมเด็จ” หลายรูปที่มีคำว่า  “วชิร” จะเข้ามาเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ติดโผทั้งพระแขก  พระฝรั่งและพระไทย ทั้ง วัดหงส์รัตนาราม,วัดโมลีโลกยาราม,วัดยานนาวา แต่สุดท้าย “หลุดโผ” ทุกรูป เจ้าคุณโสภณเป็นน้องคนสุดท้องใน 20 รูปของกรรมการมหาเถรสมาคมชุดใหม่นี้ และครองสมณศักดิ์เพียงแค่ชั้น “เทพ”  แม้จะมีชื่อติดโผมาตั้งแต่ต้น แต่กลายเป็นตัวเลือกรูปสุดท้ายแบบ “หักปากกาเซียน”

    พระเทพคุณาภรณ์ เป็นพระที่มีบทบาทในคณะสงฆ์มาต่อเนื่องตั้งแต่จำพรรษาอยู่วัดหัวลำโพง เป็นที่โปรดปรานของ “สมเด็จนิยม” วัดชนะสงคราม ช่วงวัดสระเกศเรืองอำนาจไปมาหาสู่จนผู้คนนึกว่า  “จำพรรษาอยู่วัดสระเกศ”

   เหตุเหตุนี้ พระเทพคุณาภรณ์ หรือ “เจ้าคุณโสภณ”  จึงควรได้รับฉายาว่า   “มส.ม้ามืด”

9. พระผู้เฒ่า ผู้สร้างศรัทธาบนท้องถนน”

     “หลวงตาชื่น” หรือ พระบุญชื่น ปญฺญาวุฒิฺโท พระชรา วัย 72 ปี เกิดที่บ้านเสาเล้า ต.โพนสวรรค์ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม เคยเป็นทหารเกณฑ์ และได้รับคัดเลือกไปสู้รบในยุคสงครามเวียดนาม แต่งงานมีลูกทั้งหมด 4 คน อุปสมบท เมื่อปี 2552 ที่วัดบ้านเกิด จากนั้นได้แสวงบุญเป็นพระสายป่าธรรมยุติ เดินธุดงค์ไปหลายจังหวัด ตั้งแต่ปี 2559 มุ่งบำเพ็ญเพียร แสวงบุญ เดินธุดงค์ตามรอยหลวงปู่มั่น ไม่ขอขึ้นรถ ไม่ต้องช่วยขนสัมภาระ ไม่รับเงิน ขอรับถวายเพียงน้ำเปล่า

      ปรากฎการณ์ “หลวงตาชื่น” เกิดขึ้นท่ามกลางชาวพุทธกำลัง “โหยหา” พระปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ การกลับคืนสู่พระธรรมวินัยของสถาบันสงฆ์ การเดินธุดงค์บนถนนของหลวงตาชื่น นำมาซึ่งความศรัทธามีประชาชนไปรอกราบ ถวายน้ำปูผ้าทุกเส้นทางบนท้องถนนที่หลวงตาชื่นเดินผ่าน

     ด้วยเหตุนี้ พระบุญชื่น ปญฺญาวุฒิฺโท หรือ  “หลวงตาชื่น” พระชราวัย 72 ปี จึงควรได้รับฉายาว่า  “พระผู้เฒ่า ผู้สร้างศรัทธาบนท้องถนน”

10. พระผู้อาภัพแห่งปี

      เจ้าคุณสุรชัย” หรือ พระเทพรัตนมุนี รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร อันเป็นที่หมายปองของพระภิกษุหลายรูป เนื่องจากมี “ภูเขาทอง” แหล่งสร้างรายได้ให้กับวัดมหาศาล

      เจ้าคุณสุรชัย”เป็น “พระสุปฎิปันโน” รูปหนึ่งในคณะสงฆ์ไทย เป็นพระเจรจาน้อย สมถะ เรียบง่าย  หลังวัดสระเกศเจอมรสุมเงินทอนวัด ในฐานะพระผู้ใหญ่ในวัด พยายามประคับประคองสถานการณ์ภายในวัดเรื่อยมาท่ามกลางข่าวลือว่าเจ้าคณะปกครองระดับสูง จะส่ง “พระภิกษุ” รูปโน้นรูปนี้มาครองตำแหน่งเจ้าอาวาส “วัดสระเกศ” แบบไม่เกรงอกเกรงใจหรือไว้หน้าต่อ “ความดี” ที่เคยมีต่อกันทั้งในส่วนตัวและระดับครูบาอาจารย์ “พระอุปัชฌาย์” ที่เคยไปมาหาสู่กัน

      เจ้าคุณสุรชัย”เคยดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 12 เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ หลังจากอดีตพระพรหมสิทธิและพระเถระอีก 4 รูป ครองผ้าไตรจีวร ณ พระอุโบสถวัดสระเกศ ถูกกดดันจนต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกเกือบทุกตำแหน่ง ในสังคมสงฆ์รับรู้กันทั่วไปว่า พระเทพรัตนมุนี เป็นพระที่ดีรูปหนึ่งที่ดำรงตนอยู่ในสมณเพศตามกรอบแห่งพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

      แต่สถานการณ์การเมืองของคณะสงฆ์ทำให้เจ้าคุณสุรชัย “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ไม่เป็นที่โปรดปรานของเจ้าคณะปกครองชั้นผู้ใหญ่บางรูป จึงถูกกดดันรอบทิศทาง

     ด้วยเหตุนี้ พระเทพรัตนมุนี หรือ เจ้าคุณสุรชัย” จึงควรได้รับฉายาว่า  “พระผู้อาภัพแห่งปี”

Leave a Reply