ผู้ว่าพิจิตร “สั่งถอย” ทวงคืน “วัดบางคลาน” ไม่ได้!!

วันที่ 14 ก.ค. 66  ความคืบหน้าจากเหตุการณ์ ฝ่ายปกครอง-ตำรวจ-ทหาร-อส. ที่มีคำสั่งจาก นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าฯ พิจิตร ให้นำกำลังไปดำเนินการสลายฝูงชนที่เป็นพรรคพวกของลูกศิษย์อดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ที่มีชายฉกรรจ์ปลุกระดมชาวบ้านเข้ายึดครองวัดหลวงพ่อเงินบางคลานและใช้กำลังทำร้ายเจ้าอาวาสและคณะกรรมการของวัดชุดปัจจุบันจนได้รับบาดเจ็บ โดยเมื่อวันวานที่ผ่านมา นายสุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอโพทะเล จึงได้นำกำลัง อส. 60 นาย สมทบกับกำลังของตำรวจ-ทหาร ที่มีคำสั่งกำชับจากผู้ว่าฯพิจิตร ว่าห้ามใช้กำลังรุนแรงกับผู้ชุมนุมภายในวัด ฝ่ายปกครองจึงทำได้แค่ใช้รถน้ำฉีดเพื่อจะขอเปิดทาง เปิดประตูพา พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน  เข้าวัดตามความประสงค์และตามคำสั่งของ ผู้ว่าฯพิจิตร แต่ปรากฎว่าฝ่ายผู้ชุมนุนได้ใช้หนังสติ๊กที่เป็นลูกกระสุนปั้นด้วยดินเหนียว-กระสุนที่เป็นน็อต-ลูกเหล็ก-ใช้ก้อนหินขว้างปา-ใช้อุจจาระใส่ถุงขว้างปา-และได้ใช้เครื่องฉีดพ่นสารเคมีแบบสะพายหลังติดเครื่องยนต์ที่ใช้เพื่อการเกษตรใส่ยาฆ่าแมลง-ยาฆ่าหญ้า ที่มีพิษร้ายแรงเข้าตา ตาบอด ถูกผิวหนังก็จะอักเสบปวดแสบปวดร้อนทำให้กองกำลังของฝ่ายปกครองดังกล่าวตกเป็นรอง จนในที่สุดเมื่อรู้ว่าสู้ไม่ไหวจึงถูกสั่งให้ล่าถอยและยกเลิกภารกิจ ซึ่งถือเป็นการพ่ายแพ้แบบสิ้นลายของฝ่ายปกครอง-ตำรวจ-ทหาร-อส. เหตุเป็นเพราะผู้นำหมายเลข 1 ของฝ่ายปกครอง ของฝ่ายตำรวจภายในจังหวัดพิจิตรต่างไม่ทำงานเชิงรุก จึงเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบภายในวัดหลวงพ่อเงินบางคลานยืดเยื้อยาวนานมาถึง 98 วัน (วัดถูกยึดเมื่อ 6 เม.ย. 66)จากการปะทะครั้งนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ของ ฝ่ายปกครอง-ตำรวจ-ทหาร-อส. ได้รับบาดเจ็บหลายราย หนึ่งในนั้นคือ นายสุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอโพทะเล ถูกหนังสติ๊กยิงได้รับบาดเจ็บที่มือ และจุดอื่นๆ

ล่าสุด วันนี้ นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผู้ว่าฯ พิจิตร ได้โพสต์ข้อความบนไลน์กลุ่มพิจิตรของเรา ซึ่งเป็นไลน์กลุ่มของหัวหน้าส่วนราชการและภาคประชาชนที่มีไว้เพื่อการสื่อสารต่าง ๆ ของจังหวัด ว่า “เรียน ท่านรอง ผวจ ท่าน ปลัดจังหวัด ท่านนายอำเภอและน้องๆ ปลัดอำเภอ สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือทางราชการ และร่วมในการปฎิบัติการนำท่านเจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม เข้าไปในวัด เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 จนทำให้พวกเราบางรายต้องบาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย ผมขอโทษที่ไม่ได้เข้าร่วมด้วย เนื่องจากมาราชการที่สำคัญ และขอให้ยกเลิกปฎิบัติการดังกล่าวเพื่อไม่ให้พวกเราต้องไปปะทะกับผู้ที่ยึดครองวัด ขอมอบให้ท่านนายอำเภอโพทะเลแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางท่านเจ้าอาวาส ทุกราย”

ด้าน นายสุเมธ เมธีรัตนาพิพัฒน์ นายอำเภอโพทะเล ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวว่า  ในช่วงเช้านี้จะขอไปตรวจสุขภาพและตรวจบาดแผลที่ถูกหนังสติ๊กของกลุ่มผู้ชุมนุมยิงใส่ และจะขอใบรับรองจากแพทย์ เพื่อใช้ไปเป็นหลักฐานที่จะเข้าแจ้งความที่ สภ.โพทะเล ในช่วงบ่ายโมงของวันนี้ ส่วนภารกิจทวงคืนวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ก็ต้องหยุดตามคำสั่งของผู้ว่าฯพิจิตร  ที่ขณะนี้ติดราชการอยู่ที่ กทม.

ในส่วนของฝ่ายกฎหมาย หรือ ทีมทนายความของ วัดหิรัญญาราม หรือ หลวงพ่อเงินบางคลาน ซึ่งประกอบด้วย นายกิจชัย บุญปู่ , นายกิตติรัตน์  ศรีสุเทพ ก็ได้เปิดเผยถึงการใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการกับผู้ที่บุกรุกวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ว่า ได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนประกันตัวแกนนำที่ตกเป็นจำเลยในคดีบุกรุกวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน  ซึ่งคดีดังกล่าวเป็นคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยและพวกรวมถึงชายชุดดำในข้อหาบุกรุกและทำร้ายร่างกายเมื่อวันที่ 6 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา ทีมทนายความของวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของจำเลยกลุ่มนี้…ศาลมีคำสั่งว่าให้ตัวจำเลยหลายคนในกลุ่มนี้ มาศาลเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เพื่อทำการไต่สวน และนำสืบพยาน

อนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ก.ค.66 เวลา 16.00 น. “ศาลจังหวัดพิจิตร มีคำสั่ง คุ้มครองชั่วคราว โดยมีคำสั่งว่า ให้จำเลยทั้ง 5 ปลดล็อคแม่กุญแจ และนำโซ่ออกจากประตูรั้ววัดทุกบาน พร้อมห้ามจำเลยทั้ง 5 และบริวาร ปิดประตูรั้ววัด ห้ามกีดขวาง ไม่ให้ เจ้าอาวาสและคณะกรรมการเข้าไปดำเนินงานภายในวัด เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”

โดยในวันนี้เมื่อศาลได้ออกหนังสือก็จะมอบให้เจ้าหน้าที่ของศาลยุติธรรมจังหวัดพิจิตรส่งหนังสือไปยังภูมิลำเนาของกลุ่มแกนนำที่เป็นจำเลย ซึ่งก็คงต้องติดตามดูต่อไปว่าฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมจะยอมเคารพในคำสั่งศาลหรือว่าจะยังคงใช้มวลชนเป็นโล่กำบังในการยึดครองวัดหลวงพ่อเงินบางคลานอย่างที่เป็นอยู่นี้อีกหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับบรรยากาศภายในวัดหลวงพ่อเงินบางคลานก็ยังคงมีกลุ่มชาวบ้านปักหลักกินนอนยึดครองวัดและปิดประตูคนนอกห้ามเข้า นักท่องเที่ยวห้ามเข้าโดยเด็ดขาดรวมถึงมียามเฝ้าหน้าประตูถ้ามีผู้สื่อข่าวหรือใครไปถ่ายภาพก็จะมีทีมสไนเปอร์หนังสติ๊กยิงใส่อีกด้วย

 

ที่มา : สยามรัฐ

Leave a Reply