พช.ประกาศเจตนารมณ์ 6 ข้อต่อต้านการทุจริตเนื่องใน “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล”

วันที่ 9 ธันวาคม 2564   นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยนำคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ กรมการพัฒนาชุมชน ประกาศเจตนารมณ์ และแสดงสัญลักษณ์การต่อต้านการทุจริต กรมการพัฒนาชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.  2565 โดยมี นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวรายงาน ณ ห้องประชุม 3003 ชั้น 3 กรมการพัฒนาชุมชน

นายสมคิด จันทมฤก กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชน ให้ความสำคัญกับการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนสนับสนุน และส่งเสริมให้บุคลากรทุกระดับมีจิตสำนึกในการป้องกันและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบ เพื่อสร้างความโปร่งใส มีมาตรฐานในการปฏิบัติงานที่ชัดเจน เป็นเครื่องมือกำกับความประพฤติของบุคลากร และเพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล อันจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ ศรัทธาและไว้วางใจในการบริหารงานภาครัฐ โดยได้เข้าร่วมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน  ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานขับเคลื่อนธรรมาภิบาล การพัฒนาองค์กรสู่องค์กรคุณธรรม และความโปร่งใสในการดำเนินงาน รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการป้องกัน  การทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงาน  ในการนี้ อธิบดี พช. ได้นำกล่าวคำปฏิญาณตนเพื่อเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ดังนี้

ข้อ 1 ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน อย่างเต็มความสามารถ

ข้อ 2 ยึดมั่น และยืนหยัด ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม

ข้อ 3 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้

ข้อ 4 ดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดี และรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ

ข้อ 5 ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ

ข้อ 6 ไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ในหน้าที่ราชการ หรือผลประโยชน์ทับซ้อน

        วันที่ 9 ธันวาคม ของทุกปี ถูกกำหนดขึ้นให้เป็น “วันต่อต้านการทุจริตสากล” หรือ “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” (International Anti-Corruption Day) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหภาพสากล (The United Nation : UN) ที่มีมติเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ.2546 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก จำนวน 191 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2546 ณ เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักของผู้คนในเรื่องการทุจริต อันส่งผลกระทบต่อทั้งความมั่นคงของรัฐบาล เป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังทำลายรากฐานของประชาธิปไตย และสร้างความตระหนักในบทบาทของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตในการต่อสู้และป้องกัน

ดังนั้น UN จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันต่อต้าน คอร์รัปชันสากล” วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายในวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลจะรวมมือกับสำนักงาน ป.ป.ช. องค์กรต่อต้าน คอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงานเพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่องและปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต”สำหรับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ได้กำหนดประเด็นความร่วมมือที่สำคัญของรัฐภาคี 3 ประการ ดังนี้

1.ด้านมาตรการเชิงป้องกัน :ทุกประเทศต้องมุ่งป้องกันปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นอันดับแรก

2.ด้านการบัญญัติความผิดทางอาญา :ทุกประเทศต้องถือว่าการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบคืออาชญากรรม

3.ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ :ทุกประเทศต้องให้ความร่วมมือในการทำให้อนุสัญญามีผลในทางปฏิบัติได้จริง.

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้เผยแพร่คะแนนความโปร่งใส ปี 2563 ตามดัชนีวัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index) ซึ่งเป็นการวัดคะแนนจากหลากหลายแหล่งที่มา โดยไทยได้คะแนน 36 จาก 100 คะแนนเต็ม และอยู่ในอันดับที่ 104 จาก 180 ต่อเนื่องจากปี 2562 โดยอยู่ในลำดับที่ 5 ของอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์ได้ 85 คะแนนและอยู่ที่ดันอับที่ 3 ของโลก และอันดับหนึ่งของโลกเป็นของเดนมาร์กและนิวซีแลนด์ที่ 88 คะแนน    ทั้งนี้ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ มีคำแนะนำ 4 ข้อ ดังนี้

1.เสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กร/สถาบันที่ทำหน้าที่ต่อต้านหรือสอดส่องการทุจริตคอรัปชั่น โดยจะต้องมีเงินทุนและทรัพยากรที่เพียงพอ และเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามภารกิจหน้าที่ของตน

2.จะต้องมีสัญญาการว่าจ้างที่เปิดเผยและโปร่งใสเพื่อป้องกันการกระทำที่มิชอบ ชี้การขัดกันทางผลประโยชน์ และมีการตั้งราคาที่เป็นธรรม

3.ต้องปกป้องระบอบประชาธิปไตยและพื้นที่ของพลเมือง (civic space กล่าวคือ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน) เพื่อสร้างเงื่อนไขที่จะช่วยให้รัฐบาลต้องยึดมั่นกับการแสดงความรับผิดรับชอบ

4.ต้องเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องสู่สาธารณะ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้

Leave a Reply