วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567 จากกรณีที่มีข่าวปรากฎตามสื่อต่างๆว่า พระศรีสัจญาณมุนี หรือ พระหาสุมินทร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร และคณะได้ออกเดินป่าล่าสัตว์ในบริเวณเขตรัษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างกว้างขวางนั้น ในกรณีดังกล่าว พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มจร ในฐานะที่กำกับดูแลวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ตามภาระงานนั้นๆ ได้กล่าวว่า ในเรื่องนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้ความสำคัญและเข้าใจในประเด็นของพระธรรมวินัย ข้อกฎหมาย ความเหมาะสมและเสียงสะท้อนของผู้คนผ่านสื่อต่างๆมากมายนั้น ในฐานะที่พระศรีสัจญาณมุนี (สุมินทร์) เป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยสงฆ์และปรากฎเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจในเวลานี้นั้น อาตมาได้พยายามติดต่อโดยตรงกับท่านและล่าสุดได้เรียกผู้บริหารวิทยาลัยสง์ชัยภูมิมาพูดคุยกันที่ส่วนกลางแล้วจึงมีประเด็นที่จะได้สื่อกับผู้คนที่ติดตาม ดังนี้
1.พระศรีสัจญาณมุนี (สุมินทร์) นั้นดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร จริงและตลอดเวลาหลายปี หลายสมัยที่ดำรงตำแหน่งมาท่านได้ทำงาน สนองงานรับใช้พระพุทธศาสนา คณะสงฆ์และมหาวิทยาลัยด้วยความเรียบร้อย ท่านได้เสียสละเพื่อมหาวิทยาลัยจนมีผลงานเป็นที่ปรากฎ ภาพวันนี้วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิก็เจริญก้าวหน้าตามลำดับ นี่ในส่วนภาระหน้าที่ที่ผ่านมา
2.ในกรณีการกระทำที่กำลังตกเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้นั้น ในส่วนของกฎหมายก็ต้องว่ากันไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงตามที่อธิบดีกรมอุทยานฯได้รับรายงานและให้นโยบายในการดำเนินการไปแล้ว ในส่วนของพระธรรมวินัยนั้น เมื่อมีเรื่อง มีกรณีของพระสงฆ์เกิดขึ้นไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตามซึ่งในกรณีนั้นๆมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายบ้านเมืองด้วยและในขณะเดียวกันในเวลานั้นในฝ่ายบ้านเมืองโดยกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนเป็นต้นไปจนถึงชั้นศาลสถิตยุติธรรมกำลังดำเนินการตามภาระหน้าที่อยู่นั้น ในทางปฎิบัติของคณะสงฆ์ในฝ่ายปกครองที่สูงขึ้นไปที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงก็จะต้องรอกระบวนการยุติธรรมให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะกลับมาตั้งคณะกรรมการสงฆ์พิจารณาตามหลักพระธรรมวินัย ต่อไป
3.ในส่วนของมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร นั้นในขณะนี้ได้รับรายงานจากวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิในข้อมูลบางส่วนในเบื้องต้นแล้วและขณะนี้ก็ได้สั่งให้มีการรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดโดยไม่ชักช้ามายังมหาวิทยาลัยเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
“ถึงอย่างไรก็ตามขณะนี้สังคมเราได้รับทราบข้อมูลเพียงหนึ่งด้านในอีกด้านหนึ่งนั้นท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีตำแหน่งทั้งทางปกครอง ทางการศึกษาอยากให้ทุกฝ่ายได้ใช้สติในรอข้อมูลอีกฝ่ายเพื่อประกอบการพิจารณาขณะเดียวกัน ข้อมูลอีกฝ่ายก็จะต้องเร็วและทันต่อสถานการณ์ เพื่อจะได้ไม่ให้ข่าวที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้นั้นไปกันใหญ่ ไปไกลและเสียหายไปมากกว่านี้ ในส่วนของสงฆ์นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องกันจนไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ไม่ได้เหยียบย่ำซ้ำเติมกันในทันทีทันใดโดยปราศจากข้อเท็จจริง ดังนั้นข้อเท็จจริงทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายจะเป็นคำตอบและบทสรุปในเรื่องนี้ตามหลัก อธิกรณสมถะ7” พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย
Leave a Reply