วันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ณ หอประชุมใหญ่พุทธมณฑล จ.นครปฐม ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปบรรยายพิเศษ เรื่อง “วิสัยทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ความท้าทายและโอกาส” ในการประชุมสัมมนาบุคลากรเผยแผ่พระพุทธศาสนา” ประจำปีงบประมาณ 2568 ให้กับพระสังฆาธิการ คณะกรรมการการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด และบุคลากรด้านการเผยแผ่ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมี พระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษ

ดร.นิยม เวชกามา ได้กล่าวว่า ได้แสดงวิทัศน์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาใน 20 ข้างหน้า โดยได้วางยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ประเด็นหลัก ซึ่งแต่ละยุทธศาสตร์มีการวางหัวข้อย่อย พร้อมกับยกรัฐธรรมนูญปี 2568 ที่วางกรอบไว้ว่า รัฐบาลต้องดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบพระพุทธศาสนาด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้ “รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 67 ได้ตราเอาไว้ว่า…“รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุน การศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญาและต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใดและพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”

ทำไมต้องมีแผนยุทธศาสตร์ สถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายก่อนจะวางแนวทางการพัฒนา เราจำเป็นต้องเข้าใจบริบทแวดล้อมอย่างชัดเจนเสียก่อน ความท้าทายต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ปัจจุบันมองได้ 5 ประเด็นหลัก คือ หนึ่งวิกฤตศรัทธาและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์บางส่วนที่มัวหมอง การตีความพระธรรมวินัยที่บิดเบือน และการเน้นพุทธพาณิชย์มากกว่าพุทธธรรม ทำให้ศรัทธาของประชาชนสั่นคลอน สอง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี วิถีชีวิตที่เร่งรีบ สังคมวัตถุนิยม และอิทธิพลของสื่อดิจิทัล ทำให้คนรุ่นใหม่ห่างเหินจากวัดและการปฏิบัติธรรม สาม ปัญหาเชิงโครงสร้างและการบริหารจัดการ ระบบการปกครองคณะสงฆ์บางส่วนอาจยังขาดประสิทธิภาพ ขาดความโปร่งใส และไม่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก สี่ ความขัดแย้งทางความคิด การเกิดขึ้นของลัทธิความเชื่อใหม่ๆ และความเห็นต่างในการตีความหลักธรรม อาจนำไปสู่ความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชน และ ห้า ภาวะขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ การลดลงของจำนวนพระภิกษุสามเณรผู้ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง ส่งผลกระทบต่อการสืบทอดพระศาสนาในระยะยาว

ซึ่งตรงนี้ ภาระของรัฐหรือรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยและส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาและงานคณะสงฆ์ เพราะรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวกำหนดไว้ว่า “รัฐมีหน้าที่ในการดูแล ส่งเสริม สนับสนุน และ คุ้มครองพระพุทธศาสนา” ไม่เฉพาะงานคณะสงฆ์เท่านั้นที่รัฐต้องส่งเสริมแม้กระทั้งในหมู่ชาวพุทธ รัฐก็ต้อง รัฐต้องส่งเสริมการศึกษาและเผยแผ่หลักธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และพัฒนาจิตใจและปัญญาของประชาชน พร้อมสนับสนุนองค์กรทางศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วม รวมทัังป้องกัน ฟื้นฟู และดึงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบในกิจการพระพุทธศาสนาด้วย
ยุทธศาสตร์ที่ 1: การศึกษาเพื่อปัญญา เป้าหมาย : สร้างพุทธศาสนิกชนที่มี “สัมมาทิฏฐิ” เข้าใจแก่นแท้ของคำสอน สามารถแยกแยะระหว่างพุทธแท้และพุทธเทียมได้
1.โครงการ “พระไตรปิฎกออนไลน์” : จัดทำและเผยแพร่พระไตรปิฎกในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ทั้งในรูปแบบหนังสือ สื่อดิจิทัล (E-book, Audiobook) และแอปพลิเคชัน พร้อมคำอธิบายเชิงวิเคราะห์และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
2.ปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรม : พระภิกษุต้องแม่นพระไตรปิฎก ปรับปรุงหลักสูตรนักธรรม-บาลี ให้ทันสมัย เน้นการเรียนรู้เพื่อความเข้าใจและนำไปปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงเพื่อการสอบผ่าน ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการศึกษาเปรียบเทียบกับศาสตร์สมัยใหม่
3.การอบรมการเขียนข่าว ผลิตคอนเท้นต์ ที่มีประสิทธิภาพ ยกระดับบทบาทของพระสงฆ์ให้สามารถเป็นผู้นำด้านการเผยแพร่พระธรรมผ่านสื่อยุคใหม่
4.จัดตั้ง “สถาบันพุทธนวัตกรรมและการวิจัย” : เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาเชิงลึก เพื่อตอบโจทย์ปัญหาสังคมร่วมสมัย เช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพจิต และความขัดแย้ง โดยใช้หลักพุทธธรรมเป็นฐาน ส่งเสริมให้พระสงฆ์ตื่นตัวให้รู้ทันสังคม เรียนรู้ศาสตร์ใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับมติมหาเถรสมาคม ที่เปิดโอกาสให้พระหนุ่มเณรน้อย เรียนศาสตร์สมัยใหม่ได้
5.ส่งเสริม “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” : จัดอบรมหลักสูตรพระพุทธศาสนาระยะสั้นสำหรับบุคคลทั่วไปในหลากหลายหัวข้อ เช่น พุทธเศรษฐศาสตร์ พุทธจิตวิทยา พุทธธรรมเพื่อการบริหาร เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การยกระดับการปฏิบัติและการเผยแผ่ (Practice & Propagation Enhancement) เป้าหมาย: ทำให้วัดและศูนย์ปฏิบัติธรรมเป็น “สัปปายะสถาน” ที่เป็นที่พึ่งทางใจ และสร้างศาสนทายาทที่มีคุณภาพ
1.พัฒนาวัดให้เป็น “ศูนย์กลางการพัฒนาชีวิต” : ส่งเสริมให้วัดเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การปฏิบัติธรรม และการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (Public Service) โดยมีพระสงฆ์เป็น “พระอาจารย์” และ “โค้ชชีวิต”
2.โครงการ “ธรรมะดิจิทัล” : สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์กลาง (National Dhamma Platform) เพื่อรวบรวมคำสอนที่ถูกต้อง หลักปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นช่องทางให้ประชาชนได้ปรึกษาปัญหาชีวิตกับพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
3.จัดตั้งสำนักโฆษก และช่องทางสื่อสารของมหาเถรสมาคม เพื่อทำหน้าที่สื่อสารให้ความรู้ข้อหลักธรรมะ ข่าวสารกิจการของคณะสงฆ์ แถลงการณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
4.สร้างภาคีเครือข่ายด้านสื่อมวลชน เสริมสร้างความแข็งแกร่ง และประสิทธิภาพการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงที
5.ปฏิรูปการบวชและพัฒนาระบบคัดกรอง : สร้างมาตรฐานกระบวนการบวชให้มีความเข้มข้น เพื่อให้ได้ผู้ที่เข้ามาในพระธรรมวินัยด้วยความศรัทธาอย่างแท้จริง พร้อมจัดตั้งระบบ “พระพี่เลี้ยง” เพื่อดูแลและให้คำปรึกษาแก่พระนวกะ
6.ส่งเสริม “การเผยแผ่เชิงรุกนานาชาติ” สนับสนุนการแปลพระไตรปิฎกและคัมภีร์สำคัญเป็นภาษาต่างๆ จัดตั้งศูนย์วิปัสสนากรรมฐานในต่างประเทศ และส่งพระธรรมทูตที่มีความสามารถทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติไปเผยแผ่พระศาสนาทั่วโลก

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การปฏิรูปการบริหารจัดการองค์กร (Organizational & Governance Reform) เป้าหมาย สร้างองค์กรคณะสงฆ์ที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และเป็นที่น่าเคารพศรัทธาแผนงานหลัก
1.นำหลัก “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) มาใช้: จัดทำประมวลจริยธรรม (Code of Conduct) สำหรับพระสังฆาธิการทุกระดับ และจัดตั้ง “สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงการพระพุทธศาสนา” ขึ้นมาโดยเฉพาะ
2.พัฒนาระบบฐานข้อมูลกลาง (Big Data): จัดทำระบบฐานข้อมูลพระภิกษุ-สามเณร วัด และทรัพย์สินของวัดทั่วประเทศ เพื่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
3.ปฏิรูปกฎหมายคณะสงฆ์: ทบทวนและปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นแกนกลาง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพุทธบริษัทสี่
5.จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาพระพุทธศาสนา”: ระดมทุนจากภาคประชาชนและภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาอย่างเป็นระบบและตรวจสอบได้


Leave a Reply