วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2563 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊กความว่า ประเทศชาติบ้านเมืองของเราเวลานี้กำลังประสบปัญหารุมเร้ามากมายหลายอย่างหลายประการ ในบรรดาปัญหาสังคมทั้งหลายทั้งปวงนั้น ปัญหาบางอย่างก็ได้รับการแก้ไขไปแล้ว บางอย่างก็ยังคงคาราคาซังอยู่ ปัญหาบางอย่างก็ยังคงคุกรุ่นไม่จางหาย แต่แล้วจู่ๆก็มีมหันตภัยรายใหม่ที่กระจายแพร่เชื้อร้ายไปทั่วทุกมุมโลกไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย นั่นคือโควิด-19 (Covid-19)
ไวรัสรายใหม่นี้อันตรายไม่น้อยวันนี้ส่งผลให้ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังส่งผลให้เศรษฐกิจมวลรวมของทุกประเทศทรุดต่ำลงไปซึ่งก็มากบ้าง น้อยบ้างตามฐานเศรษฐกิจเดิมของแต่ละประเทศ
สำหรับประเทศไทยเรานั้นได้รับผลจากไวรัสโควิด-19 มากถึงมากทีเดียว คนในประเทศกำลังติดเชื้อจำนวนไม่น้อยและเชื้อนี้ก็กำลังแพร่ระบาดและกระจายไปทั่วประเทศ ส่งผลให้การท่องเที่ยวของประเทศซบเซา ผู้ประกอบการต้องปิดตัวลงหลายแห่ง วัดวาอารามร้างจากผู้คน และที่หนักไปกว่านั้นก็คือภาวะช๊อค ตื่นตระหนก วิตกกังวลของผู้คนทั้งประเทศ สถานการณ์ที่เป็นอยู่เช่นนี้จะคิดอ่านกันอย่างไร
การป้องกันและแก้ไขทางกายนั้นทุกภาคส่วนกำลังระดมช่วยกันแก้ไขอย่างสุดกำลัง คำถามต่อมาก็คือแล้วขวัญและกำลังใจของผู้คนทั้งประเทศในเวลานี้จะทำอย่างไร จะช่วยกันอย่างไร หน่วยงานไหนควรจะเป็นหลัก จึงมีหลายฝ่ายได้หันมองไปที่สถาบันที่สำคัญในสังคมไทยนั่นคือสถาบันสงฆ์นั่นเอง หลายฝ่ายมองว่าพระสงฆ์จะมีบทบาทอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตของประเทศยามนี้
ท่ามกลางภาววิกฤตของสังคมไทยคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคม เจ้าคณะผู้ปกครอง วัดและพระสงฆ์ทั่วประเทศได้ปฎิบัติศาสนกิจน้อยใหญ่เกื้อกูลอนุเคราะห์สงเคราะห์ประชาชนมากมาย แต่การปฎิบัติกิจของพระสงฆ์นี้นั้นอาจจะไม่ปรากฎเป็นข่าวคราวตามสื่อต่างๆ มากนัก เช่น มหาเถรสมาคมและพระเถรผู้ใหญ่พระสงฆ์ทั่วไปก็ได้เจริญพระพุทธมนต์เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนทั้งประเทศไปบ้างแล้วในหลายที่หลายแห่งแตกต่างกันไป ส่วนพระสงฆ์ทั่วไปก็ยังคงเป็นที่พึ่งที่หวังของชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอ ไม่ทิ้งชาวบ้าน เช่น พระสงฆ์ยังคงออกรับบิณฑบาตรเพื่อให้กำลังใจญาติโยมโดยไม่ขาดกิจ ยังรับกิจนิมนต์ของผู้มีจิตศรัทธา ยังคงออกเทศน์อบรมสั่งสอนเป็นปกติ เป็นต้น การปฎิบัติกิจเหล่านี้ถ้ามองอย่างผิวเผินก็ไม่เห็นจะมีอะไร ปกติก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ในภาวะตื่นตระหนกตกใจของผู้คนทั้งประเทศนี้ ถ้าพระสงฆ์ไม่เป็นหลัก ไม่หนักแน่น ไม่เป็นที่พึ่งของญาติโยมได้แล้วสถานการณ์ทั่วไปในประเทศจะยิ่งเลวร้ายกว่านี้อีกหลายเท่า และจะซ้ำร้ายกว่านั้นอีกถ้าพระสงฆ์จะเลือกวิธีแบบเอาตัวอาตมารอดเพียงผู้เดียว สังคมจะเป็นอย่างไรไม่รับรู้ วิธีการแบบนี้ก็ยิ่งจะซำ้เติมสถานการณ์ของบ้านเมืองมากขึ้น เช่น ตื่นเช้ามาเคยทำบุญใส่บาตร วันนี้ถนนสายนี้กลับเงียบเหงา ว่างเปล่า ขันข้าวรอพระคุณเจ้าอยู่หน้าบ้าน พระสงฆ์ที่เคยใส่บาตรทุกวัน เคยสนทนาปราศัยได้ด้วยสารพัดเรื่อง เคยปรึกษาหารือ เป็นพระประจำครอบครัววันนี้ท่านไม่มาโปรดซะแล้วเพราะกลัวโควิด-19 บรรยากาศแบบนี้จิตใจของผู้คนจะเป็นอย่างไร นอกจากนั้นแล้วการทำบุญที่บ้าน งานศพและอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกัน พระไม่รับสวด ไม่รับเทศน์ ไม่รับฉัน ไม่รับนิมนต์คิดดูว่าญาติโยมจะเป็นอย่างไร จะปั่นป่วนขนาดไหน นี่คือศาสนกิจเพื่อชาวบ้านและเป็นการปิดทองหลังพระ เป็นการเยียวยาสังคมของพระสงฆ์อย่างแท้จริง
นอกจากนั้นแล้วในระดับประเทศก็จะได้นิมนต์พระเถรผู้ใหญ่เจริญพระพุทธมนต์เพื่อสร้างขวัญ กำลังใจและขจัดปัดเป่าโรคร้ายต่างๆในประเทศของเราด้วย ในกิจกรรมดังกล่าวมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จะอย่างไรก็ตามนี่คือความหวังดี ความปรารถนาดีของทุกคนทุกฝ่าย เพื่อบ้านเมืองที่ดีขึ้น เพื่อให้มีผลทางจิตวิทยาในความเชื่อมั่นของผู้คนทั้งประเทศและหวังผลในพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์เหมือนอย่างเมืองไวสาลีในสมัยพุทธกาล เป็นต้น
วันนี้จึงต้องขอขอบคุณสังคมไทยเพราะเมื่อมีมหันตภัยร้ายแรงเกิดขึ้นทุกคนทุกฝ่ายยังคิดถึงและหวังพึ่งพาพระสงฆ์เพื่อให้พระสงฆ์ได้ปัดเป่าและนำพาสิ่งดีๆกลับคืนมาสู่สังคม
นี่คือบทบาทของพระสงฆ์ท่ามกลางภาววิกฤตของสังคมไทย
Leave a Reply