พาไปรู้จัก!! กลุ่มยุวสงฆ์จิตอาสา “คิลานธรรม” เยียวยาผู้ป่วยด้วยธรรมะ

จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย อตฺถาย หิตาย สุขาย เทวมนุสฺสานํ

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์ 

พระวินัยปิฎกจารึกพุทธดำรัสนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสั่งแก่พระพุทธสาวก 60 รูป ให้ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคแรก

ผ่านมากว่า 2,500 ปี การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์วิวัฒนาการไปตามกาลเวลา แต่ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ในการเกื้อกูลมนุษย์ ผ่านหลักธรรม ผ่านคำสอน ผ่านกิจกรรมวิปัสสนา และผ่านการเยียวยา

และนี่คือวัตถุประสงค์ของ ‘กลุ่มอาสาคิลานธรรม’ พระอาสาที่มารวมตัวกันเพื่อใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือคลายทุกข์ในใจเพื่อเยียวยาผู้เจ็บไข้

ธรรมะของผู้เจ็บไข้

“ตอนแรก ทางโรงพยาบาลสงสัยว่าพระจะมาทำอะไร จะมาไม้ไหน จะมาพูดอะไร จะไปแนะนำสมุนไพรหรือไสยศาสตร์อะไรหรือเปล่า”

พระครูธรรมธรอานนท์ กนฺตวีโร จากวัดทอง กรรมการและเลขานุการคิลานธรรม เล่าย้อนไปสมัยที่เป็นพระนิสิตปริญญาโท สาขาวิชาจิตวิทยาชีวิตและความตาย ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แล้วมาลงพื้นที่ฝึกหาประสบการณ์การเยียวยาจิตใจผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช โดยนำกระบวนการทางธรรมควบคู่กับหลักจิตวิทยามาใช้

เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียน จึงมีพระอาจารย์มาควบคุมดูแลด้วย แต่เมื่อจบหลักสูตรที่เรียนไปแล้ว เหล่าพระนิสิตยังคงรู้สึกว่าศาสนามีศักยภาพในการช่วยเหลือใจของผู้ป่วยและคนใกล้ตัว จึงรวมตัวเป็นกลุ่มอาสาใน พ.ศ. 2551 และต่อมา พ.ศ. 2553 ก็ใช้ชื่อว่า ‘คิลานธรรม’ ซึ่งหมายถึงธรรมะของผู้เจ็บไข้ ซึ่งพระครูอานนท์เป็นหนึ่งในทีมผู้ก่อตั้ง

หมอพยาบาลเองก็สงสัยว่าพระจะทำอะไรได้ จึงจัดทีมมาสังเกตการณ์ในช่วงแรก แต่พอได้เห็นว่าความทุกข์ของคนไข้เบาลง ถึงไว้ใจให้พระจัดกระบวนการเยียวยา เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้กำลังสติปัญญา กลับมาดูแลตัวเองท่ามกลางความบีบคั้นของโรคภัยไข้เจ็บหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ

พอได้เข้าไปสัมผัสพื้นที่ที่คนมีความทุกข์ ทีมอาสาคิลานธรรมก็เห็นว่าไม่ใช่เพียงคนไข้ที่มีความทุกข์ แต่หมอพยาบาลที่ดูแลก็มีความทุกข์ กระบวนการเยียวยาจึงขยับออกมาให้ครอบคลุมถึงการดูแลภาวะจิตใจของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย

นี่คืองานส่วนแรกของกลุ่มอาสาคิลานธรรมในการดูแลงานคลินิก อาสาไปเยี่ยมเพื่อดูแลความทุกข์ทางจิตใจของผู้ป่วยทุกระยะ คนใกล้ตัวผู้สูญเสีย และบุคลากรทางการแพทย์ ถึงโรงพยาบาลหรือข้างเตียง ซึ่งมีวิธีการทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยว และต่อมาจึงมีการนำเทคโนโลยีออนไลน์เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก

“เราค่อย ๆ ชักชวนเพื่อนพระภิกษุที่ไม่ได้เรียนหลักสูตรชีวิตและความตาย แต่อยากดูแลความทุกข์ของผู้คนมาอยู่ด้วยกัน ชวนกันไปเยี่ยมไข้ แล้วก็มาถอดบทเรียนร่วมกัน แล้วเปิด ‘หลักสูตรเยียวยาใจด้วยธรรมะ’ พระภิกษุที่จะเข้ามาอาสากับกลุ่มคิลานธรรมต้องผ่านหลักสูตรนี้ก่อน”

งานส่วนที่ 2 คือการอบรมให้ความรู้ สำหรับพระภิกษุที่ประสงค์เข้าร่วมทีมอาสา หรือฆราวาสผู้ที่มีหน้าที่ดูแลความทุกข์ เช่น ญาติผู้ป่วย หมอพยาบาล ไปจนถึงผู้ที่ต้องการดูแลจิตใจตัวเอง เช่น กลุ่มผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ไปจนถึงผู้ต้องขัง

เมื่อทีมอาสาพระสงฆ์ออกไปช่วยผู้อื่นคลายทุกข์มากขึ้น บางครั้งพระอาสาเองก็รับเอาความทุกข์กลับมาด้วย งานส่วนที่ 3 ของกลุ่มอาสาคิลานธรรมจึงเป็นการหันกลับมาดูแลกันเอง เยียวยากันเอง เช่น การจัดกิจกรรมภาวนาร่วมกัน การต่อยอดพัฒนาทักษะกระบวนการเยียวยาให้ลึกซึ้งมากขึ้น การหันมารับฟังซึ่งกันและกัน และนี่จึงเป็นโอกาสให้ทีมอาสาได้พัฒนาข้างในใจของตนเองด้วย

เยียวยาใจด้วยธรรมะ

หากกล่าวถึงกระบวนการเยียวยารักษาใจ ผู้เขียนก็สงสัยว่าพระสงฆ์จะทำงานต่างจากนักจิตวิทยาอย่างไร พระมหาถาวร ถาวโร จากวัดชลประทานรังสฤษดิ์ กรรมการคิลานธรรม จึงกล่าวถึงบทบาทของพระสงฆ์ที่มีมาช้านานในการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และ พระวุทธ สุเมโธ จากวัดนครสวรรค์พระอารามหลวง กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคิลานธรรม อธิบายเสริมว่า

“หลายครั้งผู้ป่วยมีคำถามติดค้างลึกที่สุดในใจที่คุยกับใครไม่ได้ว่า ตายแล้วไปไหน กรรมอะไรที่พาเขามายังจุดนี้ หากไปหาบุคลากรอื่น เขาก็ไม่กล้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาคุย หรืออาจจะหยิบมาแค่ผิว ๆ แต่พอเป็นพระที่เจอกับเรื่องแบบนี้เสมอ และเราก็เข้าไปชวนให้เขาค่อย ๆ รับรู้ไปทีละประเด็นหัวข้อ”

ภาพจำในการนิมนต์พระสงฆ์ มักตามมาด้วยพิธีกรรม การสวดมนต์ นั่งสมาธิ แต่การเยียวยาของกลุ่มอาสาคิลานธรรมไม่ได้เน้นตรงนั้น พระเพียงรับนิมนต์ไปรับฟังความทุกข์ รับรู้สิ่งที่ติดค้างในใจของเขา แต่หากพิธีกรรมนั้นเป็นความปรารถนาของผู้ป่วยที่ต้องการถวายสังฆทาน สวดมนต์ เพื่อให้รู้สึกดี พระก็จะพิจารณาตามความเหมาะสม

“เราอาศัยเครื่องมือเหล่านี้ในการยกจิตใจของเขาให้ดีขึ้น ด้วยการพาพิจารณาลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขาโดยอาศัยพิธีกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่นักจิตวิทยาหรือผู้คนทั่วไปทำแบบพระไม่ได้ อาตมามองว่า เราเข้าไปถึงระดับจิตวิญญาณได้จากการฝึกตนของพระสงฆ์” พระวุทธกล่าวเพิ่มเติม

กระบวนการเหล่านี้อยู่ในหลักสูตรเยียวยาใจด้วยธรรมะที่ทางพระอาจารย์รุ่นบุกเบิก 20 รูปของกลุ่มอาสาคิลานธรรมช่วยกันพัฒนาขึ้นมาจากความรู้ในชั้นเรียนวิชาชีวิตและความตาย และประสบการณ์การคลายทุกข์ให้ผู้ป่วยในภาคสนาม ปัจจุบันมีพระอาสาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรนี้แล้ว 5 รุ่น ผลิตพระอาสารุ่นใหม่ได้ราว 150 รูป รวมกับรุ่นบุกเบิกเป็น 170 รูป กระจายเป็นเครือข่ายพระที่ทำงานด้านเยียวยาอยู่ทั่วประเทศ ซึ่ง พระอาจารย์ภัทรพล ชุตินฺธโร (พระต้น) จากวัดบางแพรก กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคิลานธรรม อธิบายที่มาของพระสงฆ์เหล่านี้ว่า

“พระที่เข้ามาอบรมมาจากหลายภูมิภาค ท่านเข้ามาเรียนรู้หลักสูตรร่วมกับคิลานธรรม เราก็หวังให้ท่านไปทำงานในพื้นที่ของท่าน บางทีอาจไม่ได้มาทำงานร่วมกัน พระที่ขับเคลื่อนในกลุ่มคิลานธรรมมีเพียง 60 รูป แต่มีเครือข่ายพระที่เข้ามาร่วมเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งก็ยังไม่เพียงพอกับจำนวนความทุกข์ของผู้ที่ต้องการสนทนากับพระ แต่คิลานธรรมกำลังค่อย ๆ ขับเคลื่อนไป”

กระบวนการเรียนรู้หลักสูตรเยียวยาใจด้วยธรรมะ เริ่มด้วยการทำให้ทราบถึงการมีอยู่ของงานประเภทนี้ ซึ่งเป็นความต้องการของญาติโยม และเป็นบทบาทที่พระสงฆ์ช่วยได้ ต่อมาจึงมีการฝึกทักษะจริง ลงปฏิบัติในพื้นที่โรงพยาบาล และสุดท้ายคือสรุปถอดบทเรียน ใช้เวลาอบรมราว 2 เดือน พระวุทธขยายความกระบวนการเรียนรู้เอาไว้ว่า

“ความพิเศษของการอบรมคือมันเหมือนกับฝึกใจเราไปเรื่อย ๆ ระยะที่ 1 เหมือนทำงานทั้งงานนอกและงานใน งานนอกคือทำประโยชน์เพื่อผู้ป่วยและญาติ ส่วนงานในก็เหมือนได้กลับมาดูแลพัฒนาข้างในใจเราไปด้วย

“พอระยะที่ 2 เริ่มการฝึกทักษะ ตอนนั้นไปชัยภูมิ ไปเรียนรู้ 5 วันติดต่อกัน ตั้งแต่เช้าถึงค่ำ นึกถึงสภาพเราต้องฝึกกันถึงตี 1 ตี 2 แล้วเราจะสู้ไหม

“อาตมาคิดว่าทักษะการให้คำปรึกษาแนวพุทธไม่ใช่เรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของชีวิต เป็นการเข้าใจตัวเราและโลก เห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน แล้วก็มีทัศนะที่ละเอียด เห็นแม้แต่ปัจจัยสิ่งเล็กน้อยอย่างการใช้ถ้อยคำทีละคำ ท่าทางแต่ละส่วน เราอาศัยเป็นจุดในการเชื่อมไปสู่ใจของคนตรงหน้า และในขณะเดียวกันก็เชื่อมอารมณ์ความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้า กลับเข้ามารับทราบภายในตัวเราได้ด้วย

“ระยะที่ 3 เราไปฝึกในโรงพยาบาล ต้องไปพบกับคนที่ทุกข์จริงอยู่ตรงหน้า พระหลายรูปอาจไม่ได้มีประสบการณ์เจอความสูญเสียมาก่อนแม้จะเป็นนักบวช ปกติเราอาจจะไปพบเพียงแค่การสวดอภิธรรมและเผาศพ แต่เมื่อได้พบคนที่กำลังทุกข์จริง เราจะมีวิธีการซึมซับแบ่งเบา ไปช่วยให้เขาได้ใคร่ครวญและเข้าใจความจริง จนกระทั่งบรรเทาความทุกข์ หรือจนกระทั่งพ้นทุกข์ไปได้ตามเหตุปัจจัยของเขา

“อาตมาคิดว่ากระบวนการเยียวยาใจด้วยธรรมะเป็นประตูสำคัญในการขัดเกลาเราให้มีการตระหนักรู้เพื่อช่วยผู้คน และกลับมาตระหนักรู้ตนบนเส้นทางของการพัฒนาตัวเอง”

หากเทียบกับระยะเวลาตั้งแต่กลุ่มอาสาคิลานธรรมเริ่มเข้ามาเยียวยาผู้ป่วย จะเห็นว่าการเปิดหลักสูตรอบรมนั้นมีน้อยครั้งมากด้วยข้อจำกัดของงานอาสา การผลิตพระอาสาเยียวยารุ่นใหม่จึงยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ

“ถ้ากลับไปที่หลักการ คือความเป็นพระอาสา เราดูตามความพร้อม ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทั้งบุคลากรของเราที่มีทั้งอาจารย์ที่ไปอยู่ในฝ่ายวิชาการ อาจารย์ที่ดูแลงานของคณะสงฆ์ทางวัด ซึ่งน่าจะมีภาระงานอยู่ตลอด แต่ถ้ามีเหตุปัจจัยพร้อม เราก็จะทำ แต่ไม่ได้บอกว่าจะต้องจัดอบรมทุกปี” พระวุทธอธิบาย

พระมหาถาวรอธิบายเสริมเกี่ยวกับข้อจำกัดตรงนี้ไว้ด้วยว่า กลุ่มอาสาคิลานธรรมไม่ได้ต้องการพระอาสาแค่ในเชิงปริมาณ แต่ต้องมีคุณภาพ ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงกระบวนการดูแลผู้คน เพราะว่าคนที่ทางกลุ่มต้องเข้าไปดูแลเป็นคนที่มีความทุกข์อยู่แล้ว ถ้าพระอาสาไม่มีทักษะที่เพียงพออาจไปสร้างความยุ่งยากให้บุคลากรทางการแพทย์หรือญาติได้

เมื่อทุกข์คลาย ใจก็เบิกบาน

บุคคลนั้นกำลังจะเสียชีวิต แต่ยังมีเรื่องที่รู้สึกผิดกับคนใกล้ตัว

บุคคลนั้นถูกพี่น้องยกให้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกวาระสุดท้ายของผู้เป็นแม่ แล้วเขาก็เลือกยุติการรักษา

บุคคลนั้นซื้อยาสมุนไพรมาให้พ่อทาน แล้วพ่อก็เกิดผลข้างเคียงจนป่วยหนัก สุดท้ายก็เสียชีวิต

“อาตมาคิดว่าเรากำลังทำหน้าที่ของพระ ในการเป็นที่พึ่งในยามที่คนมีความทุกข์ที่สุด

“แม้ชีวิตเขากำลังจะดับไป เขาก็มีที่พึ่งให้ใจเบาสบายได้ หรือแม้กระทั่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวคนไข้ เรากำลังทำให้เขาได้สงบลง ได้อยู่กับชีวิตที่กำลังจะจากลาอย่างทุกข์น้อยลง และส่งคนรักไปได้อย่างร่มเย็นที่สุด บางคนสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปแล้ว แต่ยังมีปมติดค้างต่อมาอีก 5 ปี 10 ปี เป็นเสมือนเสี้ยนตะกอนอยู่ในใจแล้วแบกไว้

“เรามีโอกาสเข้าไปคลี่คลายให้เขาปลดล็อกสิ่งที่มัดอยู่ในใจให้คลายออก แล้วกลับมามีกำลังในการใช้ชีวิตต่อในทางที่ดี เขาจะสัมผัสธรรมะผ่านประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง ธรรมะจะมาเกิดขึ้นในใจเขาเองเมื่อทุกข์สลายไป นี่คือคุณค่าของธรรมะ และเราก็ประทับใจว่าเราพาคนไปสัมผัสธรรมะที่อยู่ในจิตใจเขาได้”

พระครูอานนท์อธิบายถึงความประทับใจจากการทำงานอาสาคิลานธรรม พระมหาถาวรก็เห็นพ้องว่า ท่านเองก็อิ่มใจทุกครั้งที่ได้เห็นญาติโยมเข้าถึงธรรมะ ได้เห็นความเมตตา เห็นพรหมวิหารธรรม ผ่านทาน ศีล ภาวนา ที่เกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น

“การพัฒนาบุคลากรของคิลานธรรมเองก็มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เราไม่ได้แบ่งความเป็นศิษย์อาจารย์กันชัดเจน เพราะเรายอมรับกัน เคารพกัน เตือนกันได้ สอนกันได้ แล้วก็อ่อนน้อมกัน เรียกว่ามีศีลเสมอกัน เข้ากันได้ด้วยจิตใจดวงเดียวกันในการขับเคลื่อนงานไปข้างหน้า”

การไปเยี่ยมไข้ของพระอาสาคิลานธรรมไม่มีค่าใช้จ่าย หากญาติโยมนิมนต์พระมาคลายทุกข์ข้างเตียงพยาบาลในนามส่วนบุคคล แต่ทางกลุ่มอาสาประสงค์จะทำงานขับเคลื่อนพันธกิจเยียวยาใจด้วยธรรมะร่วมกับทางโรงพยาบาลในระดับนโยบาย ซึ่งพอเป็นทางการ ก็ต้องอาศัยทั้งความเข้าใจและความร่วมมือจากบุคลากรที่ต้องมีภาระงานเพิ่มมากขึ้นหากมีโครงการนี้เข้ามา

แม้ในบางแผนกที่หัวหน้างานเห็นชอบให้มีโครงการ แต่พอหัวหน้างานพ้นจากตำแหน่งไปแล้วมีคนใหม่เข้ามา ทางกลุ่มอาสาคิลานธรรมก็เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่กับแผนกเดิมอีกครั้ง หากผู้ดูแลส่งต่อคุณค่านี้ให้คนอื่นในทีมด้วยแต่แรก การดำเนินกิจกรรมจะไม่ขึ้นกับบุคคลเพียงคนเดียวจนอาจต้องสะดุดลงเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง

“คนที่เข้าใจว่าพระมาทำอะไรมีแค่ไม่กี่ส่วน บางครั้งอาจไม่เห็นความจำเป็นด้วย จนกว่าจะถึงวันที่ญาติเขาป่วยเอง แล้วถึงรู้สึกว่าขอให้พระมาเยี่ยมเถอะ ก่อนหน้านี้มีหลายกรณีเลยที่ผู้บริหารโรงพยาบาลบอกว่าถ้าฉันป่วยไม่ต้องนิมนต์พระมา แต่ยามที่ความทุกข์มันกระหน่ำเขา เขาก็นึกถึงพระ นึกถึงการเยียวยาใจด้วยธรรมะ เพราะมันช่วยชโลมใจเขา” พระครูอานนท์กล่าว

เมื่อคลายทุกข์ให้ผู้อื่นแล้ว สิ่งสำคัญดังที่ได้กล่าวข้างต้น คือการย้อนกลับมาดูแลใจของพระอาสาด้วยกันเอง เพื่อจัดการกับอุปสรรคในใจตัวเอง และคลี่คลายสิ่งที่คั่งค้างในใจว่า ที่เยียวยาไปนั้นดีพอหรือยัง เต็มที่แล้วหรือยัง

“เราอยู่กับความทุกข์ ความทุกข์ และความทุกข์ ถ้าคนทำงานอาสาไม่ได้สัมผัสความอิ่มใจก็จะท้อ ทำไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย จะรู้สึกยาก แล้วก็ทุกข์ เราจึงเน้นกลับไปว่า สังฆะต้องกลับมาดูแลกันด้วย ดูแลกันว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเรา มันจะทำให้งานอาสาแข็งแรงขึ้นและมีกำลังใจทำงานต่อ” พระครูอานนท์อธิบาย

เยียวยาอย่างยั่งยืน

งานเยี่ยมไข้ของทีมอาสาคิลานธรรมคืองานการกุศลตั้งแต่วันแรก ทีมพระอาสาไม่เคยปรารถนาปัจจัยจากญาติโยมเลย

“แต่พอญาติโยมถวายปัจจัยมา ก็คิดว่าไม่รับดีไหม แต่พอไม่รับก็ดูเหมือนหักหาญน้ำใจของคนไข้ เราเลยตกลงว่า หากญาติโยมถวายปัจจัยมา ก็เอามารวมกันเป็นกองกลางเพื่อแบ่งเป็นค่าเดินทาง”

พระครูอานนท์เล่าถึงการบริหารปัจจัยของกลุ่ม พอมีงบกองกลางแล้ว หากญาติโยมหรือหน่วยงานไหนต้องการนิมนต์ให้พระเข้าไปเยียวยาใจหรือจัดอบรม แม้ไม่มีงบประมาณมา แต่ทุนกองกลางก็ทำให้พระอาสารับกิจนิมนต์ได้

“ถ้าอันไหนมันติดขัด เราก็บอกว่าไม่ได้ แต่ถ้าได้เราก็ยินดีไป ไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณมาสนับสนุน”

แต่พระเองก็ไม่ใช่นักธุรกิจ หากต้องมาบริหารปัจจัยเองก็ทำเท่าที่ได้แบบเรียบง่าย จนญาติโยมที่ศรัทธามองว่าหากบริหารแบบนี้คงไม่ยั่งยืน และโครงการคงดำเนินต่อไปไม่ได้นาน จึงอาสาเข้ามาช่วยบริหารงบประมาณและจัดตั้ง ‘กองทุนพัฒนาคิลานธรรม’ ที่ขึ้นกับศิริราชมูลนิธิ เพื่อเป็นทุนในการออกเยี่ยมไข้และเบิกจ่ายได้ตามเอกสารจริง

กิจกรรมของทางกลุ่มอาสาคิลานธรรมยังเข้าไปถึงสวนโมกข์กรุงเทพตั้งแต่เมื่อราว 6 – 7 ปีก่อน สวนโมกข์ฯ จึงเข้ามาช่วยบริหารงานหลังบ้านประหนึ่งเป็นเด็กวัด ช่วยดูแลการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งทางปัจจัย สถานที่ และบุคลากร มีการพัฒนาคอนเทนต์ทางออนไลน์ สร้างเว็บไซต์ และ LINE OA ให้กลุ่มอาสา

“แต่ก่อนคิลานธรรมมีแต่ใจมาลุย สวนโมกข์กรุงเทพจึงมาช่วยประสานงาน แล้วทำให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ซึ่งทางกลุ่มเองก็ไม่ถนัดงานส่วนนี้” พระครูอานนท์กล่าว

เมื่อได้หลายฝ่ายให้การสนับสนุน กลุ่มพระอาสาก็ทำงานเยียวยาในส่วนที่ตนเองถนัดได้ง่ายขึ้น เผยแพร่องค์ความรู้สะดวกขึ้น งบประมาณก็โปร่งใสมากขึ้นเมื่อมีผู้ดูแล และมีการรับจ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร

“เราเป็นพระ เราไม่ได้ขวนขวายกระเหี้ยนกระหือรือว่าต้องไปถึงตรงนั้นตรงนี้ เราดูเอาตามเหตุปัจจัยที่มี แล้วค่อย ๆ ขยับไป โดยไม่ได้มุ่งประโยชน์ในเชิงงบประมาณ ต้องมีเงินทอง ต้องมีสถานที่ เราคุยกันหลายรอบว่า ที่ตั้งของสำนักงานคิลานธรรมควรไปอยู่ตรงไหน จนได้คำตอบว่าน่าจะเป็นใจของพระอาสาทุกรูปในนี้ ที่ตรงนั้นแหละ ที่เรามารวมตัวกัน” พระครูอานนท์อธิบายเสริม

คลายทุกข์ยุคดิจิทัล

เดิมทีอาสาคิลานธรรมจะรับกิจนิมนต์ไปคลายทุกข์ข้างเตียงผู้ป่วย แต่ต่อมามีผู้สนใจมากขึ้น หลายเคสไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พระอาสาจะเดินทางไปเยี่ยมได้ จึงมีการนำเทคโนโลยีออนไลน์เข้ามาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ญาติโยม มีการตั้งคลินิกรักษ์ใจให้ญาติโยมได้คลายทุกข์กับพระในระบบออนไลน์ผ่าน Zoom อย่างเต็มอิ่ม 2 ชั่วโมง โดยมีทีมสวนโมกข์กรุงเทพมาช่วยดูแลระบบการรับจองคิวและการติดตามประเมินผล

ระบบออนไลน์นั้นอาจจะเหมาะกับกลุ่มคนที่ถนัดเทคโนโลยี ในขณะที่อีกหลายคนไม่ใช่ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มพระอาสาคิลานธรรมจึงจัดระบบ On Call เพื่อให้ญาติโยมคุยคลายทุกข์กับพระทางโทรศัพท์ได้อีกช่องทาง

ช่วงระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีการใช้งาน Clubhouse เป็นที่ชุมนุมคนมาสนทนาในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ซึ่งในช่วงนั้น คนส่วนมากมีความทุกข์มาก ฟุ้งซ่านมาก กลุ่มอาสาคิลานธรรมก็เปิดห้องรับฟังปัญหาแบบสาธารณะบน Clubhouse ด้วย ต่อมาก็ย้ายมาอยู่บนช่องทาง Facebook : พระโม ในชื่อกิจกรรม Deep Listening

ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นหนึ่งในพาร์ตเนอร์ของกลุ่มคิลานธรรม มีการเปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรจิตวิทยาการปรึกษาแนวพุทธ สำหรับอุบาสกอุบาสิกา และผู้ที่ผ่านหลักสูตรนี้มาแล้วก็มารวมตัวกันเป็นชุมชนจิตอาสาดูแลใจ เพื่อรับฟัง พูดคุย คลี่คลายทุกข์ ด้วยกระบวนการปรึกษาแนวพุทธ ในนามของศูนย์การปรึกษา มนมันตรา ซึ่งช่วยตอบความต้องการของผู้มีความทุกข์ และผ่อนงานของกลุ่มพระอาสาลงไปได้ส่วนหนึ่ง

กิจกรรมของกลุ่มอาสาคิลานธรรมมีการพัฒนาต่อยอดและแตกแขนงไปตามเหตุปัจจัยอันสมควร แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ พระมหาถาวรจึงเล่าถึงแผนการในอนาคตที่หากทำได้จริง จะช่วยคลายความทุกข์ของญาติโยมได้มาก

“ถ้าจะขยับไปเพิ่มเติม ต้องกระจายเครือข่ายให้กว้างออกไป อย่างน้อยก็ทั่วประเทศ เช่น พระวุทธอยู่นครสวรรค์ เราจะจัดอบรมเยียวยาใจด้วยธรรมะที่นครสวรรค์ หรืออย่างอาตมาอยู่ที่นนทบุรี เราก็จัดที่นนทบุรี ถ้ามีพระอาสาอยู่ที่จังหวัดไหนก็ไปจัดที่นั่นเพื่อสร้างบุคลากร พัฒนาร่วมกับศูนย์ราชการในจังหวัดต่าง ๆ

“ประการต่อมา อยากให้มีเครือข่ายญาติโยมจิตอาสาที่มีความชำนาญเฉพาะทางเข้ามาเติมเต็ม เช่น งานกราฟิก หรือแม้กระทั่งมีงานวิจัยมาสนับสนุนกระบวนการของคิลานธรรม เพื่อยกระดับคุณภาพ และให้ได้รับการยอมรับในมุมกว้างออกไป”

วันที่พุทธศาสนาถูกตั้งคำถาม

ภายใต้กระแสเชิงลบที่มีต่อสถาบันสงฆ์ในปัจจุบัน พระอาสากลุ่มคิลานธรรมก็ไม่วายได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้เขียนเองก็สงสัยว่ากลุ่มพระอาสาจะจัดการอย่างไร พระถาวรให้คำอธิบายไว้ว่า

“ไม่ว่ากระแสจะไปในทิศทางใดก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญคือเราต้องกลับมาดูแลธรรมวินัย กลับมาพิจารณาตัวเอง เห็นการเติบโตของตัวเอง รู้กาย รู้จิตอยู่ตลอดเวลา มีสติว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราพอจะเกื้อกูลใครได้บ้าง มีธรรมเป็นเครื่องรักษาไม่ให้กิเลสจูงเราออกนอกเส้นทางมากเกินไป พยายามตรวจสอบตัวเองเรื่อย ๆ เหมือนกับที่เราถูกตั้งคำถามว่า สิ่งที่เราทำนี่เป็นกิจของสงฆ์ไหม ซึ่งกว่าจะได้รับการยอมรับจนถึงปัจจุบัน เราเหมือนฝ่าดงหนาม แม้กระทั่งการออกไปทำงานอาสานอกวัดก็ถูกตั้งคำถามว่างานในวัดไม่มีแล้วหรือ ดังนั้น เราต้องหาสมดุลให้ตัวเอง ไม่บกพร่องต่อหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง

“ที่สำคัญคือต้องมั่นคงว่าสิ่งที่ทำเป็นไปตามพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้าที่อยากให้สาวกอย่างพวกเราไปในทิศทางไหน เราไม่ได้ออกนอกลู่นอกทาง จึงยืนในจุดนี้ได้อย่างมั่นคง”

พระต้นกล่าวเสริมปิดท้ายไว้ด้วยว่า การมาทำงานอาสาเยียวยาด้วยธรรมะช่วยเติมเต็มคุณค่าของการเป็นพระ ได้ดูแลญาติโยมและเติบโตไปด้วยกันกับญาติโยมที่ท่านไปช่วยดูแล

“อาตมากล่าวบ่อย ๆ เลยว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้วันนี้ยังเป็นพระอยู่ ก็เพราะงานเหล่านี้ที่เราออกไปทำ”

ผู้สนใจกิจกรรมของกลุ่มอาสาคิลานธรรม ติดตามได้ทาง
Website : www.gilanadhamma.org   Facebook : คิลานธรรม
LINE OA : @gilanadhamma
ศูนย์การปรึกษา มนมันตา  Facebook : ศูนย์การปรึกษา มนมันตา
LINE OA : @mnmt

ขอบคุณเนื้อหาและภาพ..https://readthecloud.co/

Leave a Reply