วันที่ 29 กันยายน 2568 เมื่อวานที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีกิจกรรมเสวนา “ภิกษุณีเถรวาทแห่งประเทศไทย” โดยมีภิกษุณีและสิกขมานามาร่วมนับร้อยรูปจาก 22 อารามทั่วประเทศ โดยมีภิกษุณีธัมมนันทา หรือ รองศาสตราจารย์ ดร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ แกนนำภิกษุณีชาวไทย อดีตอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมเสวนาพร้อมกับภาคีเครือข่าย
เฟชบุ๊ค Analaya Bhikkhuni Arama กล่าวว่า การเสวนาเพื่อขับเคลื่อนงานของภิกษุณีเถรวาทในประเทศไทยเพื่อสร้างความยั่งยืน และเพื่อให้เกิดความสามัคคีเป็นเครือข่าย ที่ประชุมให้ความสำคัญกับเรื่องความรู้ที่เป็นมาตรฐานสำหรับอบรมภิกษุณีให้เข้มแข็ง ได้กล่าวถึงการจัดตั้งหลักสูตรอบรมภิกษุณีอย่างเป็นระบบ เพื่ออบรมให้ภิกษุณีสิกขมานาสามเณรีรุ่นต่อ ๆไปได้มีมาตรฐานทั้งความรู้ทั้งด้านพระสูตรพระวินัยและพระอภิธรรม วิถีชีวิตความเป็นสมณะ เป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นที่ยอมรับของพุทธศาสนาโลก

ขณะที่เฟชบุ๊ค Shine Wara Dhammo รายงานว่า การจัดเสวนาของภิกษุณีในครั้งนี้ถือว่าเป็นงานประชุมภิกษุณีเถรวาทไทยที่จัดเป็น “วาระ” ไม่ได้จัดทุกปีที่น่าจับตามอง และครั้งนี้เค้าจัดเป็นครั้งแรก พยายามรวบรวมภิกษุณีในเมืองไทยให้มาประชุมกันให้มากที่สุด
ที่บอกว่าเขาจัดเป็น “วาระ” เพราะเขาไม่ได้จัดทุกปี แต่นาน ๆ จัดที ส่วนที่บอกว่าน่าจับตามองหมายความว่า ตัวงานมีความสำคัญเพราะเป็นการจัด “ครั้งแรก” เราจะได้อัพเดทว่าปัจจุบันนี้ภิกษุณีเถรวาทไทยเป็นอย่างไรกันบ้าง มีอะไรที่คืบหน้ากันบ้าง มีอุปสรรค มีความสะดวกในหนทางการดำเนินชีวิตอย่างไรกันบ้าง
ในภาวการณ์เช่นนี้ ฟากฝั่งของภิกษุณีนักบวชพุทธฝ่ายหญิง กลับสร้างศรัทธาให้ลูกผู้หญิงอย่างเงียบ ๆ ค่อยเป็นค่อยไป มีสตรีหันเข้ามาบวชเป็นภิกษุณีจำนวนมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น มีสำนักภิกษุณีเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันนี้พอจะประมาณได้ว่า มีสำนักภิกษุณีเกิดขึ้นแล้วประมาณ 30 แห่งทั่วประเทศไทย มีภิกษุณีและสามเณรีเถรวาทรวมกันแล้วประมาณ 500 รูป
ในวันนี้ถือว่าภิกษุณีเถรวาทไทยมาไกลมากและจะก้าวไกลต่อไป ถือได้ว่าภิกษุณีสงฆ์มีส่วนช่วยฟื้นฟูศรัทธาในพุทธศาสนาเกิดกับผู้คนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว นี่ถือว่าเป็นด้านที่ควรหันมามองในภาวะที่พระภิกษุกำลังทำให้ศรัทธาญาติโยมเสื่อมถอยจากพุทธศาสนา
ภิกษุณีไทยเริ่มมีเมื่อไหร่
หากจะย้อนประวัติศาตร์กลับไป ภิกษุณีเถรวาทไทยมีประวัติศาสตร์แบบจับต้องได้คือ พ.ศ.2471 (97 ปีที่แล้ว) ที่นายนรินทร์ ภาษิต พาลูกสาวสองคนออกบวชเป็นสามเณรี จนกระทั่งคนหนึ่งได้บวชเป็นภิกษุณี แต่เนื่องจากยุคสมัยนั้นความคิดของสังคมยังไม่อำนวยทำให้ทั้งหมดต้องลาสิกขาด้วยเหตุผลทางการเมือง นั่นคือคลื่นลูกที่หนึ่ง
คลื่นลูกที่สองของการรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีเถรวาทไทยเกิดขึ้นในปี 2544 เมื่อ ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ หันไปบวชเป็นสามเณรีจากประเทศศรีลังกา แล้วบวชเป็นภิกษุณีในปี 2546
ปี 2544 แค่มีหญิงไทยคนหนึ่งไปบวชเป็นสามเณรีก็ฮอทแล้ว เพราะสังคมไทยเวลานั้นไม่เคยเห็นผู้หญิงเอาจีวรมาห่ม ทั้งหนังสือพิมพ์และสื่อโจมตีกันสะบั้นหั่นแหลก กลุ่มฆราวาสอุบาสก อุบาสิกา ไม่มีใครออกมา support เวลาที่มีการจัดงานเสวนาเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภิกษุณี มีแต่ชาว Hardcore เข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงไม่เห็นด้วย บ้างก็ทับถม น่าสังเกตว่ากลุ่มคนที่ทับถมภิกษุณีจำนวนไม่น้อยกลับเป็นผู้หญิงด้วยกันเอง ในขณะที่ฝ่ายที่ทับถมภิกษุณีมากที่สุดก็คือฝ่ายพระภิกษุเพศชาย และฆราวาสเพศชายที่ทับถมภิกษุณีก็มีไม่น้อย การอยู่ในสังคมชายเป็นใหญ่ก็เป็นเช่นนี้
สรุปคือในช่วงเวลานั้น กระแสสังคมไม่เห็นด้วย คนที่เห็นด้วยก็มีจำนวนน้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์ว่ามีผู้หญิงสนใจเข้ามาบวชเพิ่มขึ้นวันละเล็ก วันละน้อย จากวันนั้น ปี 2544 เป็นต้นมา บัดนี้ภิกษุณีมีจำนวนมากถึงประมาณ 500 รูป จัดว่าไม่ธรรมดาทีเดียว

ภิกษุณีสงฆ์มีอิสระในตัวเอง
การจัดงานประชุมภิกษุณีเถรวาทไทยครั้งนี้มีภิกษุณีมาร่วมประชุม 102 รูป มีฆราวาสชาย-หญิงเข้าร่วมฟัง มีภิกษุร่วมเสวนาอย่างน้อยหนึ่งรูป มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยให้การสนับสนุน โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐ แต่เป็นปัจจัยของญาติโยมที่ได้สละทรัพย์ แสดงให้เห็นว่านี่แหละสังฆะที่ไม่ต้องพึ่งพารัฐ เพราะถ้าเป็นงานประชุมสงฆ์อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินสนับสนุนจากภาครัฐ ถูกไหม จะเรียกว่า “ภิกษุณีสงฆ์เป็นอิสระจากรัฐ” ก็ถูกต้อง เพราะการที่ภิกษุณีสงฆ์ไม่ต้องผูกมัดกับคณะสงฆ์ไทย ไม่ต้องผูกพันกับรัฐไทย การดำเนินงานใด ๆ ก็เป็นอิสระในตัวเอง
ยกตัวอย่างถ้าภิกษุณีต้องการทำ “หนังสือเดินทาง” ก็สามารถไปทำได้ทันที แต่ถ้าเป็นภิกษุต้องทำหนังสือภายในขอทำหนังสือเดินทางหลายขั้นตอน กว่าจะทำหนังสือเดินทางได้สำเร็จก็ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย
การตั้งวัดภิกษุณีก็ง่าย ไม่จำเป็นต้องไปขอเอกสารการสร้างวัดจากรัฐ อยากจะสร้างสำนักสงฆ์ สำนักปฏิบัติธรรม ก็ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งคณะสงฆ์ ไม่ต้องไปแจ้งสำนักพุทธให้ยุ่งยาก อยากสร้างก็สร้างได้ทันทีถ้ามีทุนพร้อม ศรัทธาพร้อม

คณะสงฆ์ไทยควรดูภิกษุณีเป็นตัวอย่าง
แม้จะอยู่ในเมืองพุทธ แต่กลับกลายเป็นว่าการเป็นผู้หญิงที่ต้องการบวชภิกษุณีกลับต้องใช้เวลา 20 กว่าปีกว่าสังคมจะยอมรับได้ขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “สังคมชายเป็นใหญ่” ทำให้ผู้หญิงต้องลำบาก แม้จะเคยนิมนต์พระสงฆ์ศรีลังกามาเป็นประธานในการบวช ต่อมาถูกรัฐไทยห้ามนิมนต์พระภิกษุจากต่างแดนมาบวชให้สตรีไทย ทำให้ผู้หญิงไทยต้องไปบวชภิกษุณีที่ศรีลังกา (แต่ยังคงสามารถบวชเป็นสามเณรีในไทยได้โดยอาศัยภิกษุณีบวชให้)
คิดว่า คณะสงฆ์ไทย ควรดูภิกษุณีเป็นตัวอย่าง หากวันใดรัฐเปลี่ยนใจ ไม่สนับสนุนศาสนาทุกศาสนา กลายเป็นรัฐฆราวาส (Secular State) ขึ้นมา กลายเป็นรัฐที่ดูแลทุกคนในฐานะพลเมืองล้วน ๆ ไม่มีการสนับสนุนศาสนาทุกศาสนา คณะสงฆ์ก็อย่าลืมว่าตนเองสามารถ “หายใจได้ด้วยตนเอง” ไม่จำเป็นต้องอาศัยจมูกของรัฐในการหายใจตลอดไป และนี่จะเป็นการท้าทายด้วยว่าคณะสงฆ์จะได้เรียนรู้จากภิกษุณีในยามจำเป็นว่าพวกเธออยู่ได้อย่างไรโดยไม่ต้องอาศัยรัฐ
ดังนั้น ในแง่หนึ่ง คณะภิกษุณีสงฆ์ กำลังอยู่ในรัฐที่เรียกว่า “Secular State” หรือ รัฐฆราวาสก็ว่าได้ เพราะคณะภิกษุณีสงฆ์มีอิสระจากรัฐ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยพลังศรัทธาจากประชาชนชาวพุทธล้วน ๆ ไม่ต้องอาศัยรัฐก็อยู่ได้
ที่มาเฟชบุ๊ค Shine Wara Dhammo , Analaya Bhikkhuni Arama

Leave a Reply