ยกพระพรหมบัณฑิตพระสงฆ์ต้นแบบใช้สื่อออนไลน์เชิงพุทธ แนะ 2 พส.สร้างสังคมสันติสุข : ดร.สำราญ สมพงษ์
เนื่องจากสังคมไทยขณะนี้ ตกอยู่ในสภาพ “หิวแสง” เมื่อมีผู้มีแสงอุบัติขึ้นทางสื่อออนไลน์ช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุกคนต้องต้องมีวิถีชีวิตใหม่หรือ “นิวนอร์มัล” ทำให้เหล่า “หิวแสง” ทั้งสื่อกระแสหลักรอง สื่อทีวี ยูทูบเปอร์ ดารา นักร้อง นักการเมือง เข้ามาคอลแลปส์ วิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็นทั้งที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
บุคคลที่ “มีแสง” ในที่นี้คือ 2 พส.(พระสงฆ์) คือพระชื่อดัง 2 รูป ได้แก่ “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” พระประจำวัดสร้อยทอง กรุงเทพมหานคร ที่มักไลฟ์สอนธรรมะผ่านเฟซบุ๊กเพจ ด้วยศัพท์วัยรุ่น สนุกสนานถูกใจชาวโซเชียลเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงแต่ขายขำเพิ่มความบันเทิง คำคม วลีเด็ดโดนใจวัยรุ่นเท่านั้น แต่การโพสต์และไลพ์สดแต่ละครั้งยังคงควบคู่ไปกับการสอดแทรกธรรมะและนำกระแสต่าง ๆ มาวิเคราะห์ในเชิงพุทธศาสนาให้ทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่เข้าใจง่ายอีกด้วย อีกรูปหนึ่งคือพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์ชื่อดัง ที่เป็นพระรุ่นพี่ร่วมวัดสร้อยทองด้วยกัน
เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา 2 พส.ได้ไลฟ์สดร่วมกัน ภายใต้หัวข้อ ว่า”…ดังนั้นจะมาเป็น พส.เหมือนกันไม่ได้ ไม่ใครก็ใครจะต้องสู่ขิต” คำว่า พส.นั้นเป็นคำติดปากของวัยรุ่นที่หมายถึง “พี่สาว” หรือ “เพื่อนสาว” แต่ในกรณีนี้จะหมายถึง “พระสงฆ์” แต่ปรากฏการณ์เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 ก.ย.2564ดังกล่าว ได้มีผู้เข้าชมสดในเพจพระมหาสมปองหลายหมื่นคน และเพจพระมหาไพรวัลย์มีผู้ชมมากถึง 1.8 แสนคน รวมกันแล้วมีผู้ชมสดๆ มากกว่า 2 แสนคน
ระหว่างที่ไลฟ์สดอยู่นั้น “หนุ่ม”กรรชัย กำเนิดพลอย ดารานักแสดงและพิธีกรข่าวชื่อดังได้โทรศัพท์เข้ามาสอบถามว่า “แล้วทำไมยังจำวัดอีกหรือครับ แล้วพระอาจารย์หายติดโควิดแล้ว ไปนั่งถอดหน้ากากแล้ว นั่งฉันหมูกระทะอยู่หรือครับ”
พร้อมกันนี้ยังมี “น้าเน็ก” เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พิธีกรชื่อดัง ขณะที่โทรศัพท์เข้ามาพร้อมบอกว่า “ตนเองก็ไลฟ์รายการอยู่เช่นกัน แต่ปรากฎว่าคนดูในเฟซบุ๊กหายไปอย่างผิดสังเกต พยายามหาต้นตอว่าคนดูหายไปไหนหมด ที่แท้ก็มารวมกันอยู่ที่เพจพระทั้งสองท่านนี้เอง”
นอกจากนี้ยังมีบรรดา Official Page ของแบรนด์สินค้า สำนักข่าว และคนดัง เพจดังและเพจของคนบันเทิงต่างกันเข้ามาคอมเมนต์แซวกันเป็นยกใหญ่ เรียกว่ามากันครบทุกเพจจริงๆ เรียกเสียงหัวเราะกันแบบสุดๆ โดยมิได้นัดหมาย
หลังจากนั้น 2 พส.ได้ไลฟ์สดร่วมกันอีกในวันที่ 4 ก.ย.ซึ่งก็มีผู้เข้าชมสนทนาธรรมยอดวิว 2 แสนเช่นเดียวกัน และวันที่ 5 ก.ย.ก็ได้ร่วมกันไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” และ “fanpage พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต” โดยใช้ชื่อว่า “ช่วงเอื้อยอ้ายขอขอบคุณ…” เป็นเวลานานถึง 2 ชม. ซึ่งก็มีชาวเน็ตเข้ามาชมการไลฟ์รวมกันกว่า 2 แสนคนอีกเช่นเคย โดยระหว่างไลฟ์สดนั้น มีคนดังอย่าง หมอปลาเหมือนกับที่ไปบ้านกกกอก โทรเข้ามาพูดคุยในรายการรวมทั้งทนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ แต่ทนายสงกานต์นั้นขัดข้องน่าจะเป็นเพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ดี
นอกจากนี้ยังต่อสายไปพูดคุยกับ “น้าเน็ก” ที่กำลังไลฟ์อยู่ในเพจ “Nanake555W หัวข้อ หงี่-เหลา-เป่า-ติ้ว กับ 3 นายแพทย์ที่มาตอบปัญหาเรื่องเพศและสุขภาพอีกด้วย” โดยตอนหนึ่ง “น้าเนก” ได้ถามว่า “พระนุ่งกางเกงในได้หรือไม่” พระมหาสมปองตอบว่า “หากแพทย์แนะนำให้นุ่งจากปัญหาสุขภาพก็ควรจะนุ่ง”
การไลฟ์สดเมื่อคืนนี้ ก็ยังมีบรรดาดาแอดมินเพจต่างๆ ทั่วไทย เข้ามาคอมเมนต์หรือแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมากเช่นเดิม บางเพจที่ไม่ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในคืนแรก ก็เข้ามาคอมเมนต์เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งพระมหาไพรวัลย์และพระมหาสมปองก็อ่านคอมเมนต์ของเพจต่างๆ เป็นระยะๆก่อนที่จะให้พรก่อนจบไลฟ์
ทัวร์ลง”2พส.ไลฟ์สด” ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
จากการไลฟ์สดของ 2 พส.ดังกล่าวทำให้เกิดทัวร์ลงทั้งที่เห็นด้วยไม่เห็นด้วย “ปุ้ย” ปิยาภรณ์ แสนโกศิก ผู้อำนวยการกองประกวด มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และผู้บริหารทีพีเอ็น (TPN) โพสต์อินสตาแกรมว่า “เห็นด้วยกับการเทศน์ออนไลน์ในรูปแบบทันสมัย อย่างน้อยก็ทำให้เด็กรุ่นใหม่ๆ เข้ามาใกล้ธรรมะมากขึ้น นิมนต์แล้วนะเจ้าคะ เทศน์ให้นางงาม 30 ชีวิต ได้ฟังกัน กราบเจ้าค่ะ” โดยมีผู้ใช้อินตาแกรมเข้าไปสนับสนุนโพสต์ดังกล่าว หลายคนโพสต์ชมว่า “ปังมาก” ขณะที่อีกหลายคนขอปักหมุดรอ
พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว พระต้นแบบในการเทศน์แวกแนว ได้กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เป็นเรื่องอาบัติเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ขาดจากการเป็นพระเป็นสงฆ์ สำคัญที่เจตนาจะทำเพื่ออะไร ส่วนเรื่องที่จะต้องปรับ อาตมารู้จักพระทั้ง 2 องค์ ไม่ใช่พระหัวแข็ง ไม่ใช่พระดื้อด้าน
พระเทพปฏิภาณวาที หรือเจ้าคุณพิพิธ วัดสุทัศนเทพวรารามฯ ให้สัมภาษณ์ “มติชน” ว่า วิธีการดังกล่าวเป็นการดำเนินการแนวใหม่ เปลี่ยนภาพลักษณ์การแสดงธรรม แต่ย่อมมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ที่แน่ๆ พระผู้ใหญ่ไม่ปลื้ม ส่วนตัวรู้สึกห่วงใยอนาคตในวงการคณะสงฆ์ของพระสงฆ์ทั้งสองรูป เนื่องจากมีความรู้ดีทั้งคู่ พรรษาเกิน 10 ต่อไปต้องเติบโต ถ้าให้แนะนำ ควรปรับโดยใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาและพระพุทธวจนะเป็นแกนหลัก ส่วนมุขตลก หรือแก๊ก เป็น 1 ใน 4 ของหลักการเทศน์อยู่แล้ว
“หลักการเทศน์ของพระสงฆ์ คือ 1.ให้เกิดปัญญา 2.ให้กล้าปฏิบัติ 3.ให้กำจัดความชั่ว 4.ให้กลั้วเสียงหัวเราะ เป็นประเด็นท้าย หัวข้อที่พูดคุย ถ้าเน้นหัวข้อธรรมะเป็นแกนกลาง มีพระพุทธพจน์ มีปุจฉา วิสัชนา มีได้หลายอารมณ์”
ด้านพระเมธีธรรมาจารย์ หรือ “เจ้าคุณประสาร” เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ทั้งพระมหาไพรวัลย์และพระมหาสมปองต่างก็เป็นรุ่นน้องอาตมาจากมหาวิทยา ลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ทั้งคู่ อยากบอกว่าวันนี้เทคโนโลยีและโลกโซเชียล นั้นมีทั้งคุณและโทษ ท่านทั้งสองกำลังมีชื่อเสียง คนรู้จักทั่วประเทศ อาจจะต้องใช้หลักโยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วน ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทให้มากขึ้น จะได้เลือกจับให้ถูกด้าม กำให้ถูกทาง จะได้ไม่บาดมือ ไม่มีแผลเป็นติดมาด้วย อย่าลืมหลักโลกวัชชะผสมมัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง ในเวลาที่แสดงออก เพื่อจะได้เป็นเกราะป้องกันตัวในเวลานี้”
สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือ “ท่านจันทร์” สำนักสันติอโศก ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนท่าทีการแสดงออกแบบเล่นๆนั้น แม้จะเกินเลยไปบ้างก็เป็นจริตนิสัย ท่านก็ถูกตำหนิติเตียนตามธรรมดา สรุปว่าพระแบบท่านทั้งสองต้องมีด้วย เพื่อให้เข้ากันได้กับยุคสมัย
นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า.. ที่ท่านมหาทั้งสอง พูดจาในเชิงตลกโปกฮาบ้าง ก็เป็นบุคลิกส่วนตัวของท่าน ยังไม่ปรากฏว่าท่านล่วงละเมิดพระวินัย โดยเฉพาะในข้อปาราชิก ท่านจึงดำรงฐานะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา อันควรต้องให้ความเคารพ
นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ลี้ภัยหนีคดีความมั่นคงในประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ฝากพระผู้ใหญ่ ฉายแสงออกมาหน่อ ยาวไป ครับหลวงน้องทั้งสอง
นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พุทธะอิสระ ผู้ก่อตั้งวัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม โพสต์ข้อควาผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า… พฤติกรรมส่อถึงตัวตนของผู้กระทำ ผู้มีปัญญา มองแล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่า พระธรรมวินัยนี้คงจะไปหวังอะไรกับคนเก้อยาก
นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ สภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า 2 พส.ไม่ผิดพระธรรมวินัย แต่เป็นการช่วยดึงคนรุ่นใหม่สนใจธรรมะมากขึ้น
ขณะที่นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย ปราชญ์ชาวพุทธ อดีตผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ดีกรีเปรียญธรรม 9 ประโยค โพสต์เฟซบุ๊กเผยแพร่บทความเรื่อง “ถ้าเห็นการยอมรับของสังคมสำคัญกว่าพระธรรมวินัย…พระพุทธศาสนาก็วินาศ”
นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า บอกจะนิมนต์ 2 พส.มาชี้ ในวันที่ 9 ก.ย. โดยตั้งข้อสังเกตุกว้างๆสไลต์นักการเมือง เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ถูกผิดหรือไม่ จะปรับปรุงอย่างไร สำรวมหรือไม่เน้นไปที่การหัวเราะและการมีโฆษณาเข้ามา
“อนุชา”โยน”มส.”พิจารณาด่วน
นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บอกเป็นส่วนที่มหาเถรสมาคมทำหน้าที่อยู่แล้ว ดังนั้น การกระทำดังกล่าวของ 2 พระสงฆ์ จึงเป็นสิ่งที่ทางมหาเถรสมาคมเป็นผู้ตัดสิน ทั้งเรื่องของเจตนา และผลประโยชน์อื่น เพราะถือว่าเป็นกิจของสงฆ์
นายณรงค์ ทรงอารมณ์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เท่าที่ดูแล้วไม่ถือว่ามีความผิดวินัยรุนแรงของพระสงฆ์ โดย พศ.มอบหมายให้นายสิปป์บวร แก้วงาม โฆษก พศ.เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ แต่โดยขั้นตอนหลักขั้นตอนต้องเป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
นายสิปป์บวร แก้วงาม รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และโฆษก พศ. แสดงความเห็นว่า เป็นเรื่องของเจ้าคณะผู้ปกครอง หรือเจ้าอาวาส ที่เป็นผู้บังคับบัญชาของพระทั้ง 2 รูป จะพิจารณาตักเตือน
เสียงจากพระผู้ปกครองเข้าใจมีประโยชน์มากกว่าเสีย
พระราชปัญญาสุธี (อุทัย ญาโณทโย) ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง กล่าวว่า ได้รับทราบเรื่องที่พระมหาทั้งสองรูปเทศน์สดผ่านเฟสบุ๊คได้รับความสนใจจากประชาชน มีทั้งกระแสที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ยอมรับว่าวิธีการสอนธรรมะของพระทั้งสองรูปมีความเหมาะสมกับกระแสโลกในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อยู่บ้านหยุดการแพร่เชื้อ แม้พระสงฆ์เองก็เดือดร้อน หลายวัดงดกิจนิมนต์และงดรับบิณฑบาต เพื่อเป็นการป้องกันตนเองส่งผลให้พระภิกษุสามเณรภายในวัดไม่สามารถออกบิณฑบาตได้ ไปเรียนหนังสือก็ไม่ได้ ต้องเรียนผ่านออนไลน์ ดังนั้นการเทศนาบรรยายธรรมของพระทั้งสองรูปก็อาจเป็นแนวทางใหม่ ให้คนหันมาสนใจธรรมะ โดยไม่ต้องไปรวมตัวเป็นกลุ่มกัน เน้นไปยังกลุ่มวัยรุ่นหรือคนหนุ่มสาว เพื่อให้คนกลุ่มนี้สนใจก่อนในเบื้องต้น อย่างไรก็ตามพระทั้งสองรูป ก็อาจยังมีการแสดงออกที่ขาดความสำรวมไปบ้าง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องความผิดร้ายแรง สามารถกล่าวตักเตือนให้ท่านระมัดระวังเรื่องการวางตัวให้เหมาะสมแก่สมณสารูปได้ ทั้งนี้วิธีการแบบที่ท่านพระมหาทั้งสองกำลังทำอยู่ ต้องทำใจยอมรับว่ามีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่โดยส่วนตัวมองว่า เรื่องใดที่ให้ประโยชน์มากกว่า ก็สามารถดำเนินการได้ โดยให้อยู่บนหลักความถูกต้องและเหมาะสมกับความเป็นสงฆ์
พระมหาสมัคร มหาวีโร เจ้าคณะเขตบางซื่อ กล่าวว่า ต้องให้เจ้าคณะผู้ปกครองโดยตรงพิจารณาถึงความเหมาะสม คือ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง แต่จากความเห็นส่วนตัว มองว่าเรื่องการเทศน์บรรยายธรรมของพระทั้งสองรูป ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายแก่คณะสงฆ์แต่อย่างใด เพราะเป้าหมายสูงสุดของการบรรยายธรรม ก็คือให้คนสนใจในหลักธรรมพระพุทธศาสนา แต่วิธีการของท่านที่ปรากฎในสื่อ การพูดการแสดงออก มุกตลก อาจจะมีหลายคนยังรับไม่ได้ ก็ต้องมีการปรับปรุงกันไปให้เกิดความพอดี คือ มีทั้งสาระ บันเทิง และอยู่ในกรอบแห่งความพอดี และเท่าที่เคยพูดคุยกับพระทั้งสองรูป ท่านก็เป็นพระหนุ่มที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความรู้ และมีเจตนาดีที่ต้องการให้ประชาชนสนใจธรรมะ แต่ด้วยความเป็นพระหนุ่ม บางสิ่งบางอย่างที่ดำเนินการ ก็อาจมีเกินเลยไปบ้าง พระผู้ใหญ่ก็ต้องตักเตือนให้ท่านรับรู้ ส่วนท่านทั้งสองก็ต้องน้อมรับและนำมาปรับปรุง
วงการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจ้องดึง”2พส.”ช่วยโปรโมท
นอกจากนี้ยังมีบรรดา Official Page ของแบรนด์สินค้าเข้ามาคอลแลปส์ก็ถูกเตือนจากพระมหาไพรวัลย์ไม่ควรที่จะเข้ามาเพื่อชวนคนซื้อสิ้นค้าเท่านั้นควรจะทำประโยชน์ให้กับสังคมบ้าง อย่างไรก็ตามวงการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างช้อปปี้ ที่ได้นิมนต์ พระมหาไพรวัลย์ มาไลฟ์สดผ่าน ช้อปปี้ไลฟ์ (Shopee Live) ในวันที่ 7 กันยายน นี้ เวลา 16.00น. ภายใต้ธีม “พส x แอปส้ม เอาอะไรมาไม่เหมาะสม สนทนาธรรมกับ พระมหาไพรวัลย์ วรวณโณ” บนช้อปปี้
และได้รับการเตือนจาก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ผู้ประกาศข่าวคนดัง ที่ได้แสดงความคิดผ่านเฟซบ๊กส่วนตัว ระบุว่า “ได้ข่าวว่ากระแสตีกลับเพจ “แบรนด์” ในไลฟ์ พระมหาสมปองกับพระมหาไพรวัลย์ แล้ว น่าจะถอยกันแทบไม่ทัน หรือไม่อย่างนั้น เกรงว่าจาก “แบรนด์” จะกลายเป็น “แบน” โดยเฉพาะข้อความที่ล้ำเส้น น่าจับตาปรากฎการณ์นี้ครับ”
ขณะที่เฟซบุ๊ก Worrathasana Wongthai ของ นายวรทรรศน์ วงษ์ไทย บล็อกเกอร์ด้านไอที เว็บไซต์ trendy2.mobi โพสต์เกี่ยวกับคนที่เข้ามาหลาย post ที่บอกว่าเห็นแต่คอมเมนต์จาก page มากกว่าคนทั่วไป อันนั้นก็ต้องไปว่ากันที่ FB ว่ามีเกณฑ์แบบไหนในการดึง comment ขึ่นมาแสดง .. ใดๆ ในโลกรอบตัวเรา ล้วนมีการตลาดทั้งนั้น คนเข้ามาดู คือมาเสพ “ขำ” ไม่ได้มาเสพ “ขาย” อันนี้แอดมินเพจวงการดนตรี แอดมินเพจศิลปินเพลงจะรู้ดี เพราะเพิ่งโดนถล่มไปกันไปก่อนหน้า
ยกพระพรหมบัณฑิตพระสงฆ์ต้นแบบใช้สื่อออนไลน์เชิงพุทธ แนะ 2 พส.สร้างสังคมสันติสุข
ทั้งนี้ธรรมชาติของการสื่อสารออนไลน์ในยุคปัจจุบันได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์และโทษอย่างมหาศาล ถูกยกให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศไทยสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์อาชา เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยแรกเรียกว่าไทยแลนด์ 4.0 แต่การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ส่งสารที่เรียกว่า “สื่อมวลชน” หรือ “นักข่าวพลเมือง” ในสื่อกระแสหลักหรือสื่อใหม่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ยังขาดทัศนคติที่ดีในการทำหน้าที่ขัดแย้งย้อนแย้งต่อจริยธรรมจรรยาบรรณ เนื้อหายังเจือด้วยความเท็จ เฟกนิวส์ เสียดสีสร้างความเกลียดชัง ด่าทอ และเน้นความบันเทิงไร้ประโยชน์
ขณะที่การสื่อสารออนไลน์ของพระสงฆ์ไทยยังมีสภาพที่ไม่แตกต่างจากฆราวาสวิสัย จากการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการทำให้ทราบสาเหตุคือยังขาดทัศนคติ ขาดความรู้ในทฤษฎีการสื่อสารที่ดี ทักษะในการสื่อสารตามที่กำหนดในทักษะศตวรรษที่ 21 พร้อมกันนี้ยังมีสภาพขาดการหลอมรวมเป็นทีมงานทำหน้าที่ที่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ยังมีลักษณะเป็นเอกเทศเครือขายก็ยังน้อย จึงมีความจำเป็นที่พระสงฆ์ไทยต้องแสวงหาองค์ความรู้เกี่ยวกับการสื่อสารออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊กเพื่อส่งเสริมสันติภาพผ่านทฤษฎีการสื่อสารพื้นฐานSMCRของ เดวิด เค. เบอร์โลบูรณาการกับทฤษฎีการสื่อสารเพื่อสันติภาพของ โยฮัล กันตุง และทฤษฎีการสื่อสารเพื่อสันติของ มาร์แชล โรเซนเบิร์กพบว่า มีหลักธรรมว่าด้วยสันติภาพ กรุณา ขันติธรรม ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้ส่งสารผ่านเฟซบุ๊ก ใช้หลักการวิเคราะห์สังเกตก่อนตัดสินข้อมูลตามข้อเท็จริง ตามความรู้สึกเกิดประโยชน์ตรงตามความต้องการหรือไม่ แล้วประกอบสารมีเนื้อหาที่จริง ประสานประโยชน์ ตามลักษณณะ“4N” การสื่อสารเพื่อสันติภาพ และ “NVC” คือ การสื่อสารเพื่อสันติ สามารถสร้างสติสุขให้กับผู้รับสาร หลังจากนั้นส่งสารในช่องทางคือเฟซบุ๊กในเวลาที่เหมาะสม และทุกขั้นตอนไร้อคติ ถึงจะเกิดสติสุขสากลต่อสังคม
รวมถึงต้อมี พระพรหมบัณฑิต(ประยูร ธมฺมจิตฺโต)ป.ธ.9, ศ.,ดร., ราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์, อัคคมหาบัณฑิต) กรรมการมหาเถรสมาคม,เจ้าคณะภาค 2,เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) หลายสมัย เป็นพระนักเผยแผ นักเทศน์ นักบริหาร นักวิชาการ นักสันติภาพ เป็นพระผู้เป็นต้นแบบพระผู้นำสงฆ์ส่งสารสื่อสติสุขสากล เพราะเป็นพระสงฆ์ที่มีสติเป็นฐานแห่งเมตตาและปัญญาในการทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมสื่อสันติภาพ เป็นนักบริหารที่สนับสนุนและวางรากฐานของการการสื่อออนไลน์เพื่อส่งเสริมสันติภาพ โดยมีความรู้ความใจเกี่ยวกับทฤษฎีการสื่อสารดี มีทักษะในการจับประเด็นตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนำมาประกอบในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจในเนื้อหา สั้น กระชับ ง่ายต่อความเข้าใจของผู้รับสาร และมีทีมงานที่ดี
Leave a Reply