ส่องแนวคิด “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ในวันที่ต้องแก้ “วิกฤติคณะสงฆ์”

วันที่ 25 กันยายน 2568  ค่ำวานนี้มีประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) นัดพิเศษ ที่มีนายอนุทิน​ ชาญ​วี​รกูล​ นายก​รัฐมนตรี​ และ​รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ได้​มีมติแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรี​ 6 คน​ โดย ดร. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  โดยตรง ไม่ต้องผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเหมือนรัฐบาลยุคก่อน ๆ

ก่อนหน้านี้ ดร.บวรศักดิ์ ได้โพสต์บทความเสนอแนวคิดในการปกป้องพระพุทธศาสนา มีเนื้อหาดังนี้ ผมเป็นพุทธศาสนิกที่ยึดพระพุทธองค์เป็นสรณะสูงสุด รวมทั้งพระธรรม และพระอริยสงฆ์ตลอดจนพระสมมุติสงฆ์ผู้ทรงศีลาธิคุณอันบริสุทธิ์ อันประกอบกันเป็นไตรรัตนะ และตั้งสัจจะอธิษฐานทุกวันคืนว่าจะยึดไตรรัตนะไปทุกภพชาติ  เรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ของพระบางรูปไม่ได้ทำให้ผมเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาที่เป็นสถาบันยืนยาวมาเกือบสามสหัสวรรษ

เราคงไม่รังเกียจประชาธิปไตยเพราะมีคนคุ้มดีคุ้มร้ายเป็นประธานธิปบดีก็ฉันใด เราคงไม่เสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพราะภิกษุอลัชชีบางคน ฉันนั้น

พระภิกษุที่เป็นสุปฏิปัณโณยังมีอีกมาก แต่ท่านไม่แสดงตัว และเราไม่รู้จัก ผู้มีสติ และปัญญาจึงพึงตรึกตรองให้ดี

อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องหันมาคิดป้องกันอลัชชีที่อาศัยผ้าเหลืองดำรงชีพให้พ้นไปจากพระศาสนา ผมจึงมีข้อคิดให้คิดร่วมกันในฐานะหนึ่งในพุทธบริษัทดังนี้

1.  เมื่อพุทธบริษัท พระศาสนา และ อาณาจักรเป็นไตรสดมภ์ของสังคม จึงต้องร่วมมือกันในการ“ตรวจสอบ”การประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ และสามเณรที่ประพฤติผิดวิสัยสมณะ โดยเฉพาะที่ผิดพระวินัยร้ายแรง หรือประพฤติผิดเป็นอาจิณ โดยมี“สำนักงานป้องกันและปราบปราบการประพฤติมิชอบในพระศาสนา“ขึ้นตรงต่อสมเด็จพระสังฆราช มีหน้าที่สอดส่อง รับข้อร้องเรียนจากพุทธบริษัท และสืบสวนสอบสวนการประพฤติมิชอบด้วยกฎหมาย และการทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงถึงปาราชิกหรือสังฆาทิเสส ถ้าผิดกฎหมายก็ส่งให้ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายนั้นๆดำเนินการต่อ ถ้าผิดวินัยสงฆ์ก็ให้สงฆ์ดำเนิการ

2.  การบวชต้องแยกเป็น (1) บวชตามประเพณีไม่เกิน 1 พรรษา ให้เป็นไปตามประเพณีเหมือนเดิม และ (2) การบวชและดำรงสมณเพศตั้งแต่1 ปีขึ้นไปต้องมีขั้นตอน กระบวนการกลั่นกรองเข้มข้น โดยผู้บวชต้องแสดงเจตนาให้ชัดเจนก่อนบวช การบวชเกิน1ปี อาจต้องกลับมาอนุโลมครุกรรมก่อนบวชมาใช้ เช่นต้องเป็นผ้าขาวถือศีลแปดก่อน1ปีในวัด และมีการสังเกตพฤติกรรมระหว่างนั้น ถ้าไม่สนใจร่ำเรียน ละเลยการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ให้บวชเป็นต้น ความจริง บางสำนักที่มีครูอาจารย์ที่เคร่งครัดท่านก็ทำเช่นนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องนำมาใช้เป็นการทั่วไป

3.  ตำแหน่งปกครองสงฆ์ยังต้องมีอยู่แต่ต้องบัญญัติในกฎหมายให้ เจ้าอาวาส และพระภิกษุทุกตำแหน่งปกครองเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน หนี้สินต่อ ปปช และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการประพฤติมิชอบในพระศาสนา

4. ในการบริจาคเงินต้องมีใบแสดงเจตนาผู้บริจาคว่า บริจาคให้วัด หรือให้พระภิกษุเป็นส่วนตัว และต้องแยกบัญชีวัดออกจากบัญชีส่วนตัวพระ เฉพาะการบริจาคให้วัดจึงจะออกใบอนุโมทนา และนำไปลดหย่อนภาษีได้ ห้ามออกใบอนุโมทนาการบริจาคให้พระเป็นส่วนตัว

5.ให้มีการตรวจสอบและรับรองบัญชีวัดโดย สตง. หรือผู้สอบบัญชีที่สตงมอบหมายโดยใช้ค่าสอบบัญชีจากเงินวัด และประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาที่คิดที่เสนอมานี้มีรายละเอียดอีกมาก และอาจต้องแก้กฎหมายหลายฉบับ ไม่ใช่แค่พรบ.คณะสงฆ์ 2505

พระศาสนาจะเจริญหรือเสื่อม อยู่ที่พุทธบริษัท 4 เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องสงฆ์เพียงฝ่ายเดียว พุทธบริษัท องค์กรในพระศาสนา และอาณาจักร อันเป็นไตรสดมภ์ต้องช่วยกันคนละไม้ คนละมือ คำเก่าที่ว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างเถร” ใช้ไม่ได้นะครับ

ถ้าถือตามนั้น ให้พระจัดการกันเอง พระศาสนาจะวิกฤตแน่นอน เร่งช่วยกันคิด เร่งช่วยกันทำเถิดครับ เพื่อพระศาสนาจะได้บริสุทธิ์ และเป็นหลักทางจิตวิญญาณของสังคมได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไปตราบนานเท่านาน..

Leave a Reply