วันที่ 18 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. ณ ห้อง ณ ห้องราชพิธ ชั้น 5 อาคารดำรงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ร่วมกับ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆรวาส โดยมี คณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ภาคีเครือข่ายที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันประชุม ซึ่งเป้าหมายหลักในการชุมในครั้งนี้ เพื่อชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อน บทบาทเกื้อหนุนระหว่างวัดกับชุมชนหลังจากมหาเถรสมาคมกับกระทรวงมหาดไทยได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วม (MOU) ซึ่งการประชุมในครั้งนี้คณะสงฆ์มีระดับเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล สำหรับฝ่ายปกครอง มีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอทุกอำเภค พร้อมทั้งภาคดีเครือข่าย เข้าร่วมประชุมระบบ Zoom

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณะสงเคราะห์ มหาเถรสมาคม ได้เปิดการประชุมพร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนสาธารณะสงเคราะห์ระหว่างคณะสงฆ์และกระทรวงมหาดไทย “Thebuddh” ขอลงไว้โดยละเอียดดังนี้
ขอแสดงกัลยาณธรรม ต่อท่านพระเถรานุเถระ ซึ่งมีเจ้าคณะภาคทุกภาค เจ้าคณะจังหวัด เป็นประธาน เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะ พระสังฆาธิการ ตลอดถึงพระสงฆ์นักพัฒนาการสาธารณสงเคราะห์ที่ประชุมผ่าน Zoom ในวันนี้ ทุกรูป
ขอเจริญพร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารข้าราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี รองอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด นายอำเภอทุกอำเภอ ตลอดถึงหน่วยงานภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชนทุกคนทุกท่าน
ในนามของคณะสงฆ์ ขออนุโมทนาขอบคุณ ท่านปลัดกระทรวงมหาดไทยพร้อมด้วยคณะทำงาน ที่ได้สนองงานคณะสงฆ์ทั่วประเทศ ในการเข้ามามีส่วนร่วม สนับสนุนภารกิจงานด้านการสาธารณสงเคราะห์ ของคณะสงฆ์และได้ดำเนินการในการจัดประชุม สื่อสารทำความเข้าใจ ขับเคลื่อนงานด้านสาธารณสงเคราะห์ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการช่วยเหลือวัด สังคมและชุมชน ให้ประสบความสำเร็จ ตามบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือ บทบาทในการเกื้อหนุน ระหว่างวัดและชุมชน ให้มีความสุขอย่างยั่งยืนระหว่างฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม และกระทรวงมหาดไทย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศิลปะและการออกแบบ
อธิบดีกรมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น อธิบดีกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ณ พระอุโบสถ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ที่ผ่านมานั้น
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยเนื่องด้วยชนชาติไทย นับตั้งแต่มีประวัติความเป็นชาติมา ได้นับถือและยกย่องเทิดทูนพระพุทธศาสนา เป็นสรณะแห่งชีวิต สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ทรงให้ความสำคัญ และอุปถัมภ์ พระพุทธศาสนาตลอดมา สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ มีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น แก่อาณาประชาราษฎร์ มีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ในการทรงงานเพื่อจะสืบสาน รักษา และต่อยอด โครงการอันเนื่องมาจากราชดำริ และแนวพระราชดำริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน สร้างความมั่นคง และความวัฒนาสถาพร ให้กับประเทศชาติ
การสาธารณสงเคราะห์ คือ การดำเนินการช่วยเหลือสังคมทางวัตถุ ในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่ขัดต่อหลักพระธรรมวินัย ใช้พื้นที่ของวัดเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศล ช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนสงเคราะห์สถานที่จัดฝึกอบรมอาชีพต่างๆ แก่ประชาชน และเป็นศูนย์รวมของการทำกิจกรรมของชุมชน โดยมุ่งเน้น เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ประชาชนเป็นสำคัญที่ผ่านมาคณะสงฆ์ได้ดำเนินงานด้านสาธารณสงเคราะห์ ในหลักการ ๔ ด้าน คือ
๑. การสงเคราะห์ เป็นการช่วยเหลือทางตรงในแนวทางแบบให้เปล่า มีเป้าหมายเพื่อแก้ไข้ปัญหาเร่งด่วนให้กับประชาชน
๒. การเกื้อกูล คือการให้การสนับสนุนชุมชน และมีเป้าหมาย เพื่อสนับสนุน หรืออำนวยความสะดวก ในการดำเนินกิจกรรมของหน่วยงานอื่น ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาของประชาชนในชุมชน
๓. การพัฒนา มีแนวทางการบริหารจัดการ มีส่วนร่วมของพระสงฆ์และประชาชนในชุมชน โดยเน้นให้วัดเป็นศูนย์กลางใน การดำเนินกิจกรรมต่างๆเป้าหมายเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต และผลักดันงานสังฆพัฒนา ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของสังคม
๔. การบูรณาการ มีแนวทางการสร้างภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกัน มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลดีกับสังคม
ในส่วนงานภารกิจของฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ตามบันทึกข้อตกลง หรือ MOU คือ
๑. เผยแผ่หลักธรรมคำสอนในการเสริมสร้างให้คนในสังคม มีจิตใจ ที่เป็นบุญเป็นกุศล เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
๒. ช่วยสงเคราะห์พุทธศาสนิกชนให้มีขวัญกำลังใจในการพัฒนากสิกรรมสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล”
๓. สนับสนุนให้ประชาชนในชุมชน ตื่นตัวเรื่องการช่วยเหลือสังคม การมีจิตอาสาความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อทำให้เกิดสังคมสุขภาวะและความยั่งยืน
๔. ดำเนินกิจกรรมการช่วยเหลือและการพัฒนาสังคมทั้งด้านกายภาพและด้านจิตใจ
๕. ส่งเสริมสนับสนุนพระสงฆ์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ องค์กรพระพุทธศาสนา ในการทำงานร่วมกับเครือข่าย ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง”
๖. ขับเคลื่อนพันธกิจฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม ด้านการสงเคราะห์ เพื่อสังคม ส่งเสริมความร่วมมือ ภาคีเครือข่าย
๗. พัฒนางานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ และพัฒนางานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) โดยความร่วมมือของวัด ชุมชน โรงเรียน และส่วนราชการ ในการสร้างสังคมสุขภาวะสู่นโยบายระดับชาติ ระดับภาค ระดับจังหวัด และระดับพื้นที่
๘. พัฒนาระบบกลไก การบูรณาการ การทำงานด้านสาธารณสงเคราะห์ร่วมกันระหว่างองค์กรสงฆ์ เครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน สร้างการรับรู้และเชื่อมประสาน การปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ เจ้าคณะ พระสังฆาธิการ พระสงฆ์นักพัฒนา และประชาชน เพื่อพัฒนาการทำงานสาธารณสงเคราะห์ / การสงเคราะห์ชุมชน และพัฒนาการเผยแพร่ ในสื่อสาธารณะ


Leave a Reply