ปลัดมหาดไทย กำชับผู้ว่าทั่วประเทศ  “การเป็นผู้นำ” ต้องมีองค์ความรู้และภาคีเครือข่าย

วันนี้  8 ก.ย. 66  ที่ห้อง Ballroom B โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม นายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น  หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ร่วมประชุมฯ

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการพบปะข้าราชการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำให้เราได้รู้ว่า ท่านมีสิ่งที่มุ่งหวังก็คือความรวดเร็วในการที่จะไปขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ซึ่งคำว่านโยบาย คือ ภารกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพ่อแม่พี่น้องประชาชนให้อุดมสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งคำว่า อุดมสมบูรณ์พูนสุขนี้ มีความหมายเดียวกับคำว่า บำบัดทุกข์ บำรุงสุขอย่างยั่งยืน ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ไม่สำคัญว่าชีวิตราชการของเราจะเหลือมากเหลือน้อย แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เราต้องทำทุกวันทุกเวลาทุกนาทีให้มีค่า เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน  ซึ่งผมขอเรียกร้องจากหัวใจของคนมหาดไทยว่าต้องมี passion ที่จะขับเคลื่อนภารกิจให้เกิดความสำเร็จในพื้นที่ที่เรารับผิดชอบ และความสำเร็จในพื้นที่ที่เรารับผิดชอบนั้น จะทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขเพิ่มมากขึ้น และความสุขที่เพิ่มมากขึ้นนี้ จะเป็นสุดยอดของความปรารถนาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มองไว้ คือคำว่าอุดมสมบูรณ์พูนสุข ซึ่งก็คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนนั่นเอง

“สิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าเป็นหน้าที่ของผู้นำ นั่นคือผู้ว่าราชการจังหวัดต้องไปทำให้เกิดผลสำเร็จให้จงได้ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ไม่สำเร็จ เป็นเพราะผู้นำไม่มีไฟ ทำแต่งาน routine ไม่ได้แตะต้องเนื้องานที่เป็นงานเชิงรุกหรือเชิงคุณภาพ อีกประการสำคัญก็คือ มีผู้นำที่เปรียบเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีของจังหวัด ไม่สามารถทำให้มีภาคีเครือข่ายที่ช่วยเราทำงานได้ เพราะฉะนั้นภาคีเครือข่ายจึงมีความสำคัญ เปรียบเสมือนดังคลื่นมหาสมุทรที่ไม่มีวันขาดตอนซึ่งเราต้องเป็นดังผู้นำที่จะต้องผนึกกำลังของภาคีเครือข่ายไว้เสมอ เพื่อที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามต่อพี่น้องประชาชนอย่างชัดเจนควบคู่ไปกับงาน routine เพราะไม่อย่างนั้นความอุดมสมบูรณ์พูนสุขจะมีมิได้เลย ขออุปมาดังวรรณคดี เรื่อง รามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ที่มีถึง 10 พระพักตร์ 20 พระกร แต่ก็ต้องแพ้พระราม ที่มีเพียง 2 พระกร เพราะว่าพระรามมีไพร่พลที่ดี มีภาคีเครือข่ายช่วยรบจนชนะทศกัณฐ์ได้ เช่นเดียวกันการมีภาคีเครือข่ายที่ดีของผู้ว่าราชการจังหวัดก็จะสามารถนำเอาปัญหาความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนมารายงานท่านผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับทราบ เพื่อพัฒนาแก้ไขคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนได้อย่างทันท่วงที” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงต้น

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า สิ่งหนึ่งที่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพึงมี คือ องค์ความรู้ แนวทางในวิธีการแก้ไขในสภาพปัญหา  แนวทางวิธีการในการที่จะขับเคลื่อนเพื่อจะขจัดปัญหา ดังนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดต้องรู้ลึก รู้รอบ รู้กว้าง มากกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกระทรวง กรม หรือแนวทางการขับเคลื่อนของรัฐวิสาหกิจ ต้องเอาใจใส่และศึกษา ขอยกตัวอย่างของ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนที่ 57 ซึ่งแม้ท่านไม่เคยทำงานในกระทรวงมหาดไทยมาก่อน ในท้ายที่สุดท่านก็ถือได้ว่าเป็นคนที่เข้าใจและรู้เรื่องงานมหาดไทยมาก ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำท่านไปเป็นเป็นต้นแบบ และประการสุดท้ายที่ทำให้ผลงานของพวกเราสำเร็จก็คือ ทำความรู้จัก เชื้อเชิญ ชักจูงผู้ถนัดและเชี่ยวชาญในพื้นที่ เข้ามาพูดคุยด้วยความเข้าใจ เพื่อที่จะไปทำหน้าที่แทนแม่ทัพใหญ่ที่จะขับเคลื่อนภาคีเครือข่ายได้ แล้วก็เสริมสร้างความรู้ และสามารถโค้ชชิ่ง (Coaching) ให้กับภาคีเครือข่าย เพื่อที่จะผนึกกำลังพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ส่วนสำคัญประการสุดท้ายของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็คือการติดตามประเมินผล ขอยกตัวอย่าง จังหวัดนครพนมที่เป็นหน้าเป็นตาของพวกเราชาวมหาดไทย มีศาลากลางจังหวัดที่สะอาดเรียบร้อย มีที่ว่าการอำเภอที่สะอาด มีห้องน้ำถูกสุขลักษณะ มีทางลาดสำหรับผู้พิการ และเป็นที่เรียนรู้ของพี่น้องประชาชน เวลาประชาชนมาติดต่อราชการก็ได้ทั้งการอำนวยความสะดวกและความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น อาทิการสร้างความมั่นคงทางอาหาร “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” “ทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน” ตามพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน ซึ่งทางท่านผู้ว่านครพนมก็ทำให้ประสบผลสำเร็จในทั้ง 12 อำเภอ จะเห็นได้ว่าพี่น้องประชาชนคาดหวังต่อคนมหาดไทยที่เป็นดังหนุมาน เพราะเมื่อมีปัญหาอะไรก็สามารถขจัดแก้ไขให้ได้ ดังนั้นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา คือ การลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ไปประเมินผล ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้น้อมนำพระราชดำริในการฟื้นฟูบูรณะแม่น้ำคูคลองในพื้นที่จังหวัด ตามพระราชปณิธาน “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน และพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ยกตัวอย่างเช่น คลองแม่ข่า จากสถานที่ที่เป็นที่ระบายน้ำเวลาน้ำหลาก มีน้ำเน่าเสีย กลายเป็นสถานที่ที่พี่น้องประชาชนใช้พักผ่อนหย่อนใจ ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สะท้อนได้จากการวางแผนการเดินทางที่ถูกบรรจุให้เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวของผู้คนที่จะมายังจังหวัดเชียงใหม่

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมถึงข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์ที่เป็นสิ่งที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า “ผมเป็นคนทำงานวันนี้ สั่งงานวันนี้ ต้องเสร็จเมื่อวาน เพราะงั้นก็ขอให้ทุกคนได้มีความมั่นใจ” ขอให้ความหมายในทัศนคติของผมคือ ต้องทำงานเชิงรุก เตรียมพร้อมเสมอ มิรอให้สั่งแล้วค่อยทำ หรือมีปัญหาอุปสรรคอันใดต้องรีบแก้ไขและรายงาน อีกสิ่งที่สำคัญ คือ การทำงานด้วยความรวดเร็วหรือ speed ซึ่งนัยอย่างนี้ไม่มีอะไรเกินสิ่งที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ให้พระโอวาทไว้ว่า ลงพื้นที่ให้รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด

“ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ช่วยกันสร้างฝ่ายเสนาธิการ นั่นก็คือหัวหน้าสำนักงานจังหวัดที่จะเป็นมันสมอง ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ นำสิ่งที่ดีไปถ่ายทอดให้กับพี่น้องประชาชน ตามแนวทางที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเน้นย้ำ เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือ พี่น้องประชาชน รวมถึงทำให้หมู่บ้านทุกหมู่บ้านเป็น “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ที่เป็นผู้นำในการทำให้ทุกชุมชนทุกหมู่บ้าน และทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยเกิดความยั่งยืน ที่ได้ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์กับองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ที่มุ่งทำให้พื้นที่ได้รับการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ทั้ง 17 ข้อ พร้อมด้วยการขับเคลื่อนจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในทุกครัวเรือนซึ่ง “เป็นประเทศแรกของโลก” อันเกิดจากทุกท่านช่วยกันทำจนเกิดเป็นมรรคผลร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก จนสามารถขายคาร์บอนเครดิต แปรเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเงินแล้ว จำนวน 4 จังหวัด คือ จังหวัดลำพูน สมุทรสงคราม เลย และจังหวัดอำนาจเจริญ โดย บมจ.ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK เป็นผู้รับซื้อคาร์บอนเครดิตในราคา 260 บาท/ตัน ซึ่งในเฟสแรก สามารถซื้อขายได้จำนวน 3,140 ตัน เป็นเงิน 816,400 บาท และเม็ดเงินทั้งหมดนี้กลับคืนไปสู่ชุมชน เป็นกองทุนในการพัฒนาชุมชนต่อไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว

นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอให้พวกเราทุกคนได้น้อมนำโครงการในพระราชดำริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยกันร่วมคิดกิจกรรมเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระชนมายุครบรอบ 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 รวมทั้งการบำรุงรักษาดูแลแหล่งน้ำของทุกจังหวัดให้สภาพภูมิทัศน์มีความสะอาด สวยงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งร่วมกันขับเคลื่อนงานสร้างความมั่นคงทางอาหาร การจัดการสิ่งแวดล้อม และงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากร ดิน น้ำ ป่า และกิจกรรม “วันดินโลก : World Soil Day” วันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่องค์กรระดับโลกอย่าง FAO ได้กำหนดขึ้นเพื่อยกย่องพระเกียรติคุณ ด้วยการประชาสัมพันธ์สื่อสาร ทั้งสื่อสังคมออนไลน์ สื่อวิทยุโทรทัศน์ รวมไปถึงสื่ออื่น ๆ ให้ทั่วทั้งโลกได้เห็นและตระหนักถึงความสำคัญของดิน เพราะดินคือต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิต

“แนวทางการทำงานที่สำคัญ คือ “การพัฒนาคน”  โดยเริ่มจากตัวท่านผู้ว่าราชการและทีมงานในจังหวัดให้มีองค์ความรู้ที่รู้ลึก – รู้จริง – รู้กว้าง เพื่อลงไปนำและสร้างเครือข่ายการพัฒนาในพื้นที่ สร้างตัวอย่างความสำเร็จในการดำเนินงานตามนโยบายด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งร่วมกันถอดบทเรียนและสื่อสารความสำเร็จนั้นให้เกิดการขยายผลที่ยั่งยืนต่อไป ขอให้ทุกลมหายใจและทุกหยาดเหงื่อ และโลหิตของคนมหาดไทย ได้อุทิศเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อประเทศชาติ เพื่อพระศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพเทิดทูนยิ่งของพวกเรา” ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวทิ้งท้าย

Leave a Reply