วันก่อนนั่งคุยกับ “นักวิชาการพุทธศาสนา” ท่านหนึ่งบอกว่า ตอนนี้ทั้ง มจร และ มมร ไม่ได้เป็น “มหาวิทยาลัยสงฆ์” แล้ว เป็นเหมือนกับมหาวิทยาลัยของรัฐ ทั่วไป เพราะสังกัด อว. ไม่ได้สังกัด “มหาเถรสมาคม” ทั้งหลักสูตรและวิถีคิดยุคนี้ของผู้บริหารส่วนใหญ่ก็เป็นแบบ “คฤหัสถ์” ไปหมดแล้ว ท่านว่ามาอย่างนี้ ได้แต่คิดตาม ไม่พูดหรือโต้แย้งอะไร??
วันหนึ่งไปนั่งคุยกับ “พระเทพเวที” เจ้าคณะภาค 6 รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต มจร ในฐานะตัวแทน มหาเถรสมาคม “มือร่าง” พ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรม ท่านบอกว่า ตอนนี้คณะสงฆ์ไทยมีกฎหมายเพียง 2 ฉบับเท่านั่นคือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นเรื่องของการปกครองคณะสงฆ์ กำหนดภารกิจให้คณะสงฆ์ทำงานไว้ 6 ด้าน แต่ไม่มี “งบประมาณ” ให้ คือมอบแต่งานแต่ไม่มอบเงินให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ปรับปรุงแก้ไขไปแล้ว 4 ครั้ง อีกฉบับหนึ่งคือ พรบ.การศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562 ซึ่งท่านถือว่าเป็น พรบ.แห่งประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทยและของตัว “พระเทพเวที” เองด้วย เพราะทำมากันมือ

คุยทุกเรื่องทั้งปัญหาและอุปสรรค ของการได้มาซึ่งงบประมาณ ที่รัฐบาล “เศรษฐา” เพิ่งอนุมัติงบกลางให้ไป “346” ล้านบาท
สาเหตุความล่าช้า..ท่านบอกว่าไม่ได้เกิดจากรัฐบาล “ประยุทธ์” แต่เกิดจาก “พวกเรา” กันเอง คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและคณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องเอง อันเนื่องมาจากเป็น “ของใหม่”
และเรื่องการอนุมัติกลางของรัฐบาล “เศรษฐา” ความจริงตั้งเรื่องอยู่ในแฟ้มตั้งแต่รัฐบาล..ประยุทธ์แล้ว
ประเด็นที่ “น่าสนใจ” ใน พ.ร.บ.ตัวนี้ ไม่กี่วันที่ผ่าน “พระเมธีวัชรบัณฑิต” ผอ.วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ (IBSC) มจร เปิดประเด็นไว้ว่า
“คนที่อ่าน พ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรมแบบผิวเผินแล้ว มักจะสรุปเอาดื้อ ๆ ว่า ตามมาตรา 22, 23 และ 24 นั้น ผู้เรียนจะได้วิทยฐานะตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้นจนถึงปริญญาตรีเท่านั้น ถ้าอ่านกฏหมายให้ละเอียดลึกซึ้งจะพบว่า มาตรา 24 วรรคสอง ได้ชี้ว่า “ในกรณีที่ผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีสนามหลวงชั้นใด ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติมตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด ให้ผู้นั้นมีวิทยฐานะระดับใด ๆ โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติกำหนดไว้” ภายใต้ พรบ.ฉบับนี้ มหาเถรสมาคม สามาถเปิดหลักสูตรตั้งแต่ ป.ตรี -ป.เอกได้


Leave a Reply