“มหานิยม” ขึ้นเขาภูพาน ตามหา “พระมหาประโยค9” ผู้ตั้งปณิธาน “ไม่รับกิจนิมนต์ -ไม่รับสมณศักดิ์”

วันที่ 4  สิงหาคม 2567   วานนี้ โพสต์บุ๊ค “นิยมเพื่อไทย” ซึ่งเป็นเฟชบุ๊คส่วนตัวของ “ดร.นิยม เวชกามา” อดีต สส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง นำทีมงาน ประกอบด้วย “นายเรืองสุวรรณ โยวะ” “นายธนาวิทย์ คื้มยะราช” ประธานกลุ่มอาสานำเที่ยวภูผาด่าง เทือกเขาภูพาน เข้ากราบนมัสการ “พระมหาภิรมย์  ฐิตธัมโม” เปรียญธรรม 9 ประโยค ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาขาม ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน เขตบ้านห้วยยาง ตำบลเหล่าโพนค้อ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเทือกเขาดังกล่าว อยู่ในเขตอุทยานภูผายล-ภูค้อ ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่าง จังหวัดนครพนม  มุกดาหาร

เฟชบุ๊ค “นิยมเพื่อไทย” ได้เขียนเล่าต่อว่า พระมหาภิรมย์ ได้เมตตาพาคณะ ดร.นิยม เดินป่าบนเทือกเขา เพื่อดูหน้าหน้าผาขาม และถ้ำเขียนสี ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เคยมาตรวจสอบ สันนิษฐานว่ามีอายุระหว่าง 2,500 – 4,000 ปี โดยเพิ่งค้นพบเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมานี่เอง

ดร.นิยม กล่าวว่า ในการเดินท่องไพรครั้งนี้ จากสำนักสงฆ์ไปถึงหน้าผาขาม เพียงระยะทางแค่ 700 เมตร แต่เนื่องจากวันนี้ฝนตกพื้นดินเฉอะแฉะ ประกอบพื้นดินที่เดินจากสำนักสงฆ์ไปถึงหน้าผาเป็นลานหินหินซึ่งมี ความลาดชันและลื่นจึงต้องเดินด้วยความระมัดระวังใช้เวลาทั้งไปและกลับถึง 4 ชั่วโมง เลยทีเดียว

 ทั้งนี้ พระมหาภิรมย์ ฐิตธัมโม  เปรียญธรรม 9 ประโยค จากสำนักเรียนวัดสามพระยา บางลำภู กรุงเทพมหานคร อายุ 57 ปี 37 พรรษา เดิมพระมหาภิรมย์เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนองเสม็ดสันติธรรมมาราม อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี สมัยท่านอยู่ที่ชลบุรี ท่านตั้งสำนักสอนพระและสามเณรอยู่หลายปี

ต่อมา ท่านเห็นว่าการศึกษาด้านปริยัติธรรมท่านก็จบถึงชั้นเปรียญ 9 ประโยค ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแล้ว จึงมีความประสงค์ที่จะปฏิบัติธรรมสู่เส้นทางวิปัสสนากรรมฐาน จึงลาหลวงพ่อเจ้าอาวาส เดินทางสู่จังหวัดสกลนคร เพื่อแสวงหาพระอาจารย์ผู้มีคุณธรรมในด้านวิปัสสนากรรมฐานหลายรูป

 ครั้งแรกท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองมะเกลือ ตำบลดงชน อำเภอเมืองสกลนคร 1 พรรษา จากนั้นได้มาปักกลด บริเวณหน้าผาขาม  เมื่อเห็นว่าที่ตรงนี้มีความสงบเหมาะในการปฎิบัติธรรมก็จำพรรษาอยู่ตรงนี้เรื่อยมาติดต่อกันเป็นเวลา 11 ปีแล้ว

 พระมหาภิรมย์ เล่าว่า ระหว่างนั้นหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดที่เคยจำวัดอยู่ ได้มาติดตามท่านถึงเทือกเขาสูงแห่งนี้ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีกุฏิหรือที่พักสงฆ์ เพื่อนิมนต์ให้กลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดและต้องให้ตำแหน่งสัญญาบัตร แต่ท่านขออยู่แบบนี้ หลวงพ่อเจ้าอาวาสไม่ขัดข้องท่านจึงจำพรรษารูปเดียวตลอดมา

 “ต่อมา ก็มีญาติโยมพุทธบริษัทจากจังหวัดชลบุรี บ้าง ในพื้นที่ที่นี่บ้าง มาปลูกสร้างอาคารศาลาเพื่อปฎิบัติธรรม แต่ตรงนี้มันกันดารห่างไกลหมู่บ้าน ไม่มีไฟฟ้าไม่มีน้ำประปา ใช้น้ำภูเขาจึงไม่มีพระรูปใดที่จะทนอยู่ได้ถึงมาอยู่ด้วยก็เป็นครั้งคราว แค่ 5 วัน 10 วัน 20 วัน แต่ก็มีญาติโยมมาปฎิบัติธรรมเป็นระยะๆอาตมาได้จำพรรษาตลอดมาและก็มีความประสงค์ที่จะอยู่แบบสงบไม่รับกิจนิมนต์ใดๆไม่ว่าใกล้ไกลขอปฎิบัติธรรมอย่างสงบ ส่วนภัตตาหารก็ฉันวันละครั้ง สำนักนี้ไม่มีการเรี่ยไรไม่มีผ้าป่าไม่มีกฐิน ไม่มีรายได้จากการถวายทาน อาตมามีค่านิตยภัติจากการจบประโยค 9 เดือนละ 4,100 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของสำนักปฎิบัติธรรมนี้ ภัตตาหารก็ได้จากการออกบิณฑบาตรบ้างได้จากญาติโยมพุทธบริษัทขึ้นมาถวายบ้างเพราะฉันวันละครั้งจึงไม่เดือดร้อนอะไร อาตมาไม่ได้หวังยศหวังตำแหน่งขอบำเพ็ญเพียรเพื่อพ้นทุกข์จากวัฏสงสาร” พระมหาภิรมย์ กล่าว

 ดร.มหานิยม กล่าวว่า สำหรับตำบลเหล่าโพนค้อ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ยังมีพระมหา อีกรูปหนึ่ง ชื่อ “พระมหาอ้ม คัมภีร์รปัญโญ” เปรียญธรรม 9 ประโยค เช่นกัน ประจำอยู่ที่ วัดบ้านเหล่าโพนค้อ ก็มุ่งปฏิบัติธรรมโดยไม่ได้หวังตำแหน่งของฝ่ายบริหารคณะสูงแต่อย่างใด ดังนั้นในตำบลแห่งนี้จึงมีพระมหาเปรียญ 9 ประโยคอยู่ 2 รูป โดยไม่มีตำแหน่งในด้านการปกครองและไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ เช่นกัน

Leave a Reply