วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ณ มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาเวียดนาม นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม การประชุมวันวิสาขบูชานานาชาติ ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม วันนี้เป็นวันสุดท้าย โดยที่ประชุมได้มีการประกาศปฎิญญาโฮจิมินห์ และมีการมอบธงวันวิสาขบูชาโลกให้กับตัวแทนคณะสงฆ์จีน โดยคำปฎิญญามีรายละเอียดดังนี้..
ในโอกาสที่พุทธศาสนิกชน และมนุษยชาติได้ร่วมกันจัดพิธีเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาแห่งสหประชาชาติ ประจำปี 2568 ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากกลุ่มศาสนาพุทธ สภาสงฆ์ องค์กรทางพุทธศาสนา นักวิชาการ นักวิจัย และตัวแทนองค์กรเพื่อสันติภาพจาก 85 ประเทศและดินแดน ได้มารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาเวียดนามในนครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ 6 ถึง 8 พฤษภาคม 2568 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 20 และเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ ภายใต้หัวข้อเรื่อง “ความสามัคคีและการครอบคลุมเพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์: ข้อมูลเชิงลึกของชาวพุทธเพื่อสันติภาพโลกและการพัฒนาที่ยั่งยืน” ขอประกาศปฏิญญาโฮจิมินห์ ดังมีสาระสำคัญดังต่อไปนี้
อ้างถึงมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 54/115 ซึ่งผ่านเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ซึ่งให้การยอมรับวันวิสาขบูชาอย่างเป็นทางการในฐานะวันสำคัญทางวัฒนธรรมและศาสนาระดับนานาชาติ โดยให้มีการรำลึกเป็นประจำทุกปีที่สำนักงานใหญ่แห่งสหประชาชาติและสำนักงานภูมิภาคตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 เป็นต้นไป
พวกเราได้ตระหนักว่าการเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาของสหประชาชาติในปี 2568 ที่นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีความหมายทางจิตวิญญาณและทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งสำหรับคณะสงฆ์ พุทธศาสนิกชนทั่วไป และประชาชนเวียดนาม และถือเป็นโอกาสอันเป็นมงคลสำหรับชุมชนพุทธศาสนิกชนทั่วโลกในการฉลองเหตุการณ์สำคัญระดับชาติ 2 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่ วันครบรอบ 50 ปีการรวมชาติ (30 เมษายน 2518 – 30 เมษายน 2568) และวันครบรอบ 80 ปีวันชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (2 กันยายน 2491 – 2 กันยายน 2568)
พวกเราขอแสดงความชื่นชมความสำเร็จที่โดดเด่นด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของนครโฮจิมินห์นับตั้งแต่การรวมชาติ และยอมรับสถานะในระดับนานาชาติที่เติบโตของเวียดนามในฐานะสมาชิกที่มีความสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบของชุมชนระดับภูมิภาคและระดับโลก
พร้อมกันนี้ พวกเราขอร่วมแสดงความยินดีกับประชาชนชาวเวียดนามที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในทุกด้านของชีวิต เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการพัฒนาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนครโฮจิมินห์หลังจากรวมประเทศเป็นหนึ่งได้ครบ 50 ปี สถานะของเวียดนามในระดับนานาชาติยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และประเทศมีบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก

การที่วันวิสาขบูชาของสหประชาชาติจัดขึ้นในเวียดนามเป็นครั้งที่ 4 นั้น สะท้อนให้เห็นวิถีพุทธที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ที่หลากหลาย และเสรีภาพในเวียดนามได้อย่างชัดเจน เรามองเห็นความมุ่งมั่นที่เข้มแข็งและการดำเนินการในทางปฏิบัติของรัฐบาลเวียดนามในการเคารพและรับรองสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาพลเมืองทุกคน
พวกเราได้ร่วมกันยืนยันว่าวันวิสาขบูชาแห่งสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2568 เน้นย้ำถึงบทบาทที่ขาดไม่ได้ของพระพุทธศาสนาในการส่งเสริมความสามัคคี สันติภาพ ความอดทน และการพัฒนาที่ยั่งยืนทั่วโลก
โดยที่ตระหนักว่าการปฏิบัติตามวันวิสาขบูชาในปีนี้แสดงถึงความปรารถนาร่วมกันของเราที่จะนำภูมิปัญญาทางพุทธศาสนาและความรับผิดชอบทางจริยธรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนระดับโลก เช่น การแก้ไขความขัดแย้ง ความยุติธรรมทางสังคม ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และความร่วมมือระหว่างประเทศ ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) พร้อมกับการพัฒนาคุณค่าภายใน (IDGs)
การเฉลิมฉลองในปีนี้ ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อีกทั้งสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดความเชื่อมั่นและความหวังใหม่ในอนาคตที่สงบสุขและเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาสำหรับมนุษยชาติ เราจึงขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อรัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม คณะสงฆ์เวียดนาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำของคณะกรรมการประชาชนนครโฮจิมินห์ สำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น การมีจิตอาสาอุทิศตนจัดงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และสนับสนุนที่มีวิสัยทัศน์ในการจัดงานเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญระดับโลกครั้งนี้
เราขอเน้นย้ำถึงบทบาทของเวียดนามในฐานะเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการยกระดับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาร่วมกับประชาคมโลก และเป็นแบบอย่างสำคัญในการทูตวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาที่ส่งเสริมความสามัคคีและความสามัคคีเพื่อสันติภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนทุกคน

บัดนี้ พิธีการเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลกได้สำเร็จลงอย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเราจึงได้มีฉันทามติประกาศปฏิญญาโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นการตอบสนองตามแนวทางของพุทธศาสนาต่อความท้าทายเร่งด่วนต่างๆ ของโลก โดยยึดหลักการไม่ใช้ความรุนแรงรุนแรง ความอดทน และการส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
ข้อที่ 1:ความสามัคคีและการมีส่วนร่วม เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
1.1. เราให้คำมั่นที่จะส่งเสริมความสามัคคีและความครอบคลุมเพื่อศักดิ์ศรีของมนุษยชาติทั้งหมด โดยให้มนุษยชาติเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งศักดิ์ศรีได้รับการเชิดชูและไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง พร้อมกันนี้ เราขอยืนยันถึงความสำคัญของการเสริมสร้างการตอบสนองของพุทธศาสนาต่อความท้าทายระดับโลกและปัญหาเร่งด่วนในยุคสมัยของเรา รวมถึงความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม การเลือกปฏิบัติ และการแบ่งขั้วทางการเมือง ซึ่งยังคงบ่อนทำลายสันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ
1.2. เราเรียกร้องให้มีการสนทนาข้ามวัฒนธรรมและข้ามศาสนาที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นหนทางในการเชื่อมช่องว่าง สร้างความไว้วางใจ และเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชาวพุทธในการเจรจาระหว่างประเทศและความพยายามในการแก้ไขข้อขัดแย้งที่มุ่งส่งเสริมความสามัคคีระดับโลกที่ยั่งยืน
1.3 เราขอยืนยันว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับสันติภาพ ความยุติธรรม การไม่ใช้ความรุนแรง และความเท่าเทียม และขอเรียกร้องให้ผู้นำโลกยึดมั่นในหลักการเหล่านี้ให้สอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)
1.4 เราสนับสนุนการบูรณาการค่านิยมทางจริยธรรมของพุทธศาสนาในการกำหนดนโยบายและการปกครอง โดยให้แน่ใจว่าความเมตตา ปัญญา และความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมจะกำหนดกระบวนการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ
1.5. เราสนับสนุนหลักการของพระพุทธศาสนาที่มุ่งมั่นเป็นพลังการเปลี่ยนแปลงในการแก้ไขวิกฤตความยากจนและในการผลักดันความพยายามในการขจัดความหิวโหยและความอดอยาก นอกจากนี้ เรายังยืนยันถึงความเกี่ยวข้องของหลักการเหล่านี้ในการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและความยั่งยืนทางระบบนิเวศ ด้วยจิตวิญญาณนี้ เราเรียกร้องให้โลกพุทธศาสนามีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการริเริ่มเพื่อความยุติธรรมทางสังคมและการพัฒนาที่ครอบคลุม

ข้อที่ 2:การปลูกฝังสันติภายในเพื่อสันติภาพโลก
2.1. เราตระหนักว่าความสงบภายในเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับสันติภาพโลก ซึ่งต้องอาศัยความมุ่งมั่นสากลต่อสติ จริยธรรม และปัญญา เป็นรากฐานของความสามัคคีที่ยั่งยืนภายในบุคคลและสังคม
2.2 เราสนับสนุนการบูรณาการแนวทางการไกล่เกลี่ยเชิงพุทธโดยใช้สติและสมาธิเป็นฐาน การทูต และการริเริ่มปรองดองหลังความขัดแย้ง โดยตระหนักถึงประสิทธิผลในการส่งเสริมความยืดหยุ่นทางอารมณ์ การสื่อสารโดยไม่ใช้ความรุนแรง และการรักษาสันติภาพแบบองค์รวม
2.3 เราเรียกร้องให้รัฐบาลและสถาบันทั่วโลกนำการฝึกสติและความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมมาใช้ เพื่อให้มีทักษะในการควบคุมอารมณ์ ความชัดเจนทางศีลธรรม และการบริหารจัดการด้วยความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
2.4. เราสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ ความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม และวิธีการแก้ไขข้อขัดแย้งที่มีพื้นฐานมาจากปรัชญาพุทธศาสนา
2.5 เราขอเรียกร้องให้ผู้นำทั่วโลก ได้นำพุทธปัญญามาบูรณาการเข้ากับการกำหนดนโยบายสาธารณะและโครงสร้างการกำกับดูแล เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจทำด้วยความชัดเจน สมดุล และคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาว

ขัอที่ 3:การให้อภัย การเยียวยาอย่างมีสติ และการคืนดี
3.1. เราขอยืนยันว่าการให้อภัยและการเยียวยาใจอย่างมีสติเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุความยุติธรรมหลังความขัดแย้งที่ยั่งยืน โดยให้แน่ใจว่าความพยายามในการปรองดองจะส่งเสริมการรักษา การฟื้นฟูร่วมกัน และสันติภาพที่ยั่งยืน
3.2. เราเรียกร้องให้ส่งเสริมหลักธรรมทางพุทธศาสนาเกี่ยวกับความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ การวางอุเบกขาในการแก้ไขข้อขัดแย้ง โดยส่งเสริมการสนทนา ความเข้าใจ และการทูตเชิงจริยธรรม
3.3 เราสนับสนุนการจัดตั้งโครงการการรักษาที่ยึดหลักการบำบัดทางจิตวิทยาแบบพุทธ โดยบูรณาการการทำสมาธิและการแทรกแซงที่เน้นสติ เพื่อสนับสนุนชุมชนหลังความขัดแย้งในการเอาชนะความบอบช้ำทางจิตใจ การสูญเสีย และความแตกแยกทางสังคม
3.4. เราเรียกร้องให้จัดตั้งคณะกรรมการปรองดองที่ยึดหลักจริยธรรมของพุทธศาสนา เพื่อให้แน่ใจว่ากระบวนการยุติธรรมให้ความสำคัญกับความสามัคคีในสังคมอย่างลึกซึ้ง การมีส่วนร่วมอย่างครอบคลุม และความรับผิดชอบต่อศีลธรรมในสังคมที่แตกแยก
ข้อที่ 4:ความเมตตาของพุทธศาสนาในการปฏิบัติความรับผิดชอบร่วมกันในการพัฒนาของมนุษยชาติ
4.1. เราเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและอิงตามความต้องการ โดยมีโครงสร้างบนหลักพุทธศาสนาเกี่ยวกับการกระจายความมั่งคั่งอย่างมีจริยธรรมและไม่ฟุ่มเฟือย รวมทั้งหลักศีลธรรมในการให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากกว่าการแสวงหากำไร
4.2. เราเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามแบบจำลองของเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจหมุนเวียน และการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากจริยธรรมนิเวศของพุทธศาสนา เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายเศรษฐกิจแบบฟื้นฟูมีความสอดคล้องกับสมดุลทางนิเวศ ความยุติธรรมระหว่างรุ่น และเสถียรภาพทางสังคมในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ
4.3 เราสนับสนุนรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักพุทธศาสนา ส่งเสริมการใช้แรงงานอย่างมีจริยธรรม เศรษฐกิจการค้าที่เป็นธรรม และรูปแบบเศรษฐกิจที่เห็นอกเห็นใจซึ่งเสริมพลังให้กับประชากรที่ถูกละเลย และเพิ่มความมั่นคงของมนุษย์
4.4 เราขอเรียกร้องให้ผู้นำที่มีบทยาทในการกำหนดนโยบายนำคำสอนของพุทธศาสนาเกี่ยวกับความเอื้อเฟื้อ และการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง เข้าไปเป็นนโยบายความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ กลไกการกระจายความมั่งคั่ง และระเบียบข้อบังคับการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน
4.5. เราเรียกร้องให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงการริเริ่มด้านมนุษยธรรมของชาวพุทธ เพื่อแก้ไขวิกฤตเร่งด่วนของความยากจน ความหิวโหย การอพยพ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ผ่านความพยายามทางการกุศลที่ได้รับการชี้นำ

ข้อที่ 5:การฝึกสติในการศึกษาเพื่ออนาคตและความยั่งยืนของมนุษยชาติ
5.1. เราสนับสนุนการบูรณาการการอบรมจริยธรรมทางพระพุทธศาสนาและการศึกษาสติเข้ากับหลักสูตรโรงเรียนโลก โปรแกรมการพัฒนาครู และกรอบการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อปลูกฝังภูมิปัญญา ความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม
5.2. เราขอเรียกร้องให้สถาบันการศึกษานำเอารูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นความเห็นอกเห็นใจมาใช้ โดยเน้นการใช้เหตุผลทางศีลธรรม การสื่อสารโดยไม่ใช้ความรุนแรง และการสอนที่เน้นการไตร่ตรองให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างสังคมที่กลมกลืนและมีจริยธรรม
5.3. เราเรียกร้องให้มีการนำกระบวนการเรียนรู้ที่มีสติเป็นฐาน (Mindfulness Based Learning) ไปใช้ในการการจัดการศึกษา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี (Wellness) การแก้ปัญหาทางจริยธรรม และความเครียดที่เพิ่มมากขึ้นอันเกิดจากแรงกดดันทางสังคมและเทคโนโลยีสมัยใหม่
ข้อที่ 6:การส่งเสริมความสามัคคีความพยายามร่วมกันเพื่อความสามัคคีทั่วโลก
6.1. เราขอเรียกร้องให้ผู้นำทางศาสนาพุทธมีบทบาทเชิงรุกในภารกิจสันติภาพของสหประชาชาติและเวทีระหว่างศาสนา เพื่อสนับสนุนการแก้ไขข้อขัดแย้ง การสร้างสันติภาพ และการปรองดอง
6.2. เราขอรับรองว่าค่านิยมทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรงและความรับผิดชอบร่วมกันควรเป็นตัวกำหนดนโยบายด้านภูมิอากาศและกลยุทธ์ในการตอบสนองต่อภัยพิบัติ โดยให้แน่ใจว่าการอนุรักษ์ระบบนิเวศยังคงเป็นเสาหลักพื้นฐานของการปกครองระดับโลก
6.3 เราสนับสนุนการอุทิศตนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การฟื้นฟูหลังสงคราม และการปกป้องระบบนิเวศ โดยการระดมทรัพยากรทางพุทธศาสนาจากทั่วโลกเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตและความท้าทายทางสังคม
6.4. เราขอแสดงความเคารพนับถืออย่างสูงต่อพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าศากยมุนี ซึ่งเป็นสมบัติของชาติของอินเดีย และพระบรมสารีริกธาตุพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระโพธิสัตว์ ติช กว๋าง ดึ๊ก แห่งเวียดนาม ซึ่งถือเป็นมรดกอันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษยชาติเพื่อสันติภาพโลก โดยประดิษฐานไว้ ณ วันวิสาขบูชาแห่งสหประชาชาติ ปี 2568 ณ นครโฮจิมินห์

Leave a Reply