“อุทิส ศิริวรรณ” ซัด “ต.” เดือด!! ทิ้งท้าย “ไพร่อย่างผม สะท้อนได้แค่นี้”

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568  หลังจากมีหนังสือสั่งการด่วนที่สุดตามด้วยกลายเป็น “มติพิเศษ มส” มีชาวพุทธและพระสงฆ์จำนวนมากแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เป็นต้นว่า “ดร.อุทิศ ศิริวรรณ” นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาชื่อดัง ได้โพสต์ประเด็นดังกล่าวว่า  ประเด็นร้อนฉ่าวงการสงฆ์จดหมายเปิดผนึกถึง ต และพวก พฤหัสบดีที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘ อุทิส ศิริวรรณ สื่อสารเอง ไม่ต้องระแวง ไม่มีสมเด็จวัดใด บงการ …ผมลงชื่อไว้ รับรองว่าสื่อสารด้วยตนเอง
ไม่มีอามิสสินจ้างใดๆ จากใครๆห่วงใยความรู้สึกชาววัดด้วยกัน ที่เวลานี้ มืดแปดด้าน ด้วยกัน
==========
ตั้งใจสื่อสาร ด้วยเมตตานำ เป็นสำคัญ  ไม่บีบให้ “จนตรอก” ยังเปิดทางให้เดิน ด้วยหลัก กตัญญูกตเวที ต่อสมเด็จพระสังฆราช  อย่าเหิมเกริม “สอนสังฆราช” ครั้งแล้วครั้งเล่า
แว่วว่า วิสาขบูชา ต จะบังอาจ  ขึ้นธรรมาสน์ สอนสังฆราช อีกรอบ
ส่วนตัวผม นับถือเลื่อมใส ความดีในองค์ท่าน   สแกนกรรม ส่องกรรมท่านละเอียดยิบ  รวมถึง ผมก็นับถือ ความดีในตัว หลวงพ่อ สมเด็จสุชิน  คือคนเรา ไม่มีใคร 100%  นำและทำได้ขนาดนี้ ถือว่าท่านเสียสละกันมากๆ  อย่ากดดันท่านสารพัด  ด้วยความกตัญญูกตเวทิตานำ
ดังนั้น ผมจึง สื่อสาร  ถึง ต และพวก  เหตุผล คงไม่มีใครกล้า “ทักท้วง”
ผมเอง ถ้าปกติ ก็ไม่ยุ่ง   อปกติ ก็จะเป็นอีกคน

สถานการณ์ สร้าง “ผู้นำ” ปกป้องพระธรรมวินัย  ดาวดวงใหม่ อุบัติที่ “แม่แตง” เชียงใหม่
เชิญกดอ่าน ลิงก์ ที่ท่านสะท้อนเที่ยงตรง   ผมชอบอ่าน อะไรที่ “ตรงๆ” แบบนี้

ท่านพระครูนิรมิตรวิทยากร  ใช้ชื่อฉายาแบบไม่เอาสมณศักดิ์นำ
”พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช“   เล่าว่า   “ใครที่หวังดีต่อพระพุทธศาสนา ควรยกเลิกมติมหาเถรสมาคมอันนี้เสีย เพราะรังแต่จะสร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ไม่ส่งผลดีอันใดเลย

ขอชี้แจงเพิ่มเติม เนื่องจากมีคนที่ไม่หวังดีต่อสถาบัน เอาบทความนี้ไปโพสต์ ที่เราบอกว่า ควรยกเลิกมติมหาเถรสมาคมฉบับนี้ มีเหตุผล คือ :-

เพราะเหตุว่า การปฏิบัติบูชาพระรัตนตรัย เนื่องในวันวิสาขบูชา นั้น คณะสงฆ์ และพุทธศานิกชน ได้ทำกันมาเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว มีการเดินทำประทักษิณเวียนเทียนรอบวิหาร ลานพระเจดีย์ สวดอิติปิโส.. สวากขาโต.. สุปฏิปันโน.. เป็นการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ

และสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เพื่อระลึกถึงการตรัสรู้อริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า และการได้ดวงตาเห็นธรรมของพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็เป็นการดีการชอบแล้ว

จากนั้น ยังมีการปฏิบัติบูชา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถวายเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา บางคนอาจถือเนสัชชิก ไม่นอนตลอดคืน ก็ทำกันมาอย่างนี้

การที่มติมหาเถรสมาคม จะมาบังคับให้ทุกคนทำเป็นอย่างอื่น หาควรไม่ การระลึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยคำว่า พุทโธ เมนาโถ ธัมโม เมนาโถ สังโฆ เมนาโถ อันเป็นคำสอนของพระรูปหนึ่ง ที่สอนให้ชาวพุทธไม่ต้องกราบไหว้พระพุทธรูป ที่เป็นรูปเหมือนแทนองค์พระศาสดา อันนี้ต่างหากที่ชาวพุทธส่วนใหญ่รังเกียจ

มหาเถรสมาคมก็เคยมีมติตำหนิโทษพระรูปนี้มาแล้ว ส่วนการอ้างว่า เป็นปรารภของเบื้องสูงนั้น ก็ขอยกไว้ ไม่อาจก้าวล่วง ซึ่งกรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูป ท่านก็ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่จะให้ท่านยอมรับ ก็คงไม่มีใครยอมรับ จึงได้แต่นิ่งเงียบ หรืออาจจะมีผู้ยอมรับก็แล้วแต่อัธยาศัย

ส่วนตัวเราไม่ยอมรับ แต่เราไม่นิ่งเงียบ เราจำเป็นต้องชี้แจงเหตุผลผิดถูกดีชั่ว ตามความเป็นจริงแห่งพระธรรมวินัยให้สังคมได้รับทราบ และได้ชี้แจงไปโดยละเอียดแล้วในโพสต์ก่อนหน้านี้ ซึ่งทุกคนไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเราก็ได้ หรือใครจะเห็นด้วยก็ได้ ไม่ว่ากัน หรือใครไม่ชอบใจ จะด่าว่าเราก็เอาตามสบาย

แต่เราจำเป็นต้องพูดความจริง ให้สังคมได้รับทราบ ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ตาม เพราะถ้าเราอยู่ในสังคมที่พูดความจริงกันไม่ได้ ไม่ยอมรับความจริง สังคมนั้นต้องถึงกาลพินาศฉิบหายในวันหนึ่งอย่างแน่นอน ขอเพิ่มเติมเท่านี้

ถ้าชาวพุทธลุกฮือกันขึ้นมาต่อต้าน เดี๋ยวพระที่เป็นต้นตอของปัญหา จะไม่มีแผ่นดินอยู่ และมหาเถรสมาคมจะขาดความน่าเชื่อถือ พระพุทธศาสนาจะถึงกาลระส่ำระสาย

พระรูปนี้ต้องยุติบทบาท อย่าเผยแผ่คำสอนของตัวเองที่ผิด ๆ โดยกล่าวตู่ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกเลย

ไม่ต้องเป็นห่วงว่า พระพุทธศาสนาจะไปไม่รอด การเผยแผ่พระธรรมวินัยที่วิปริตบิดเบือน นี่! ต่างหาก จึงเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาที่ร้ายแรงที่สุด

ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าชาวพุทธตั้งใจปฏิบัติ รักษาศีล เจริญสมาธิ อบรมปัญญา ศาสนาพุทธไม่มีวันเสื่อมสลายไปจากโลกนี้  ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘_๐๕”
ท่านวิทยา หรือท่านพระครูฯ ผมตรวจสอบประวัติให้แล้ว จะได้ไม่ถูกสาย ต ยัดเยียด ปรักปรำ ใส่ร้ายท่าน
ท่านเป็นพระป่า สายวัดบวรนิเวศ  ที่กล้าลุกขึ้นชน และต่อต้าน ในสิ่งที่ท่านเห็นว่า “อปกติ”
ด้วยเหตุ ด้วยผล อย่างมีสติ และยึดหลัก พระธรรมวินัย ขนบธรรมเนียม ประเพณี
เคารพองค์สังฆบิดร คือสมเด็จพระสังฆราช  และพระมหาเถระ พระเถรานุเถระ
โปรดใช้วิจารณญาณ อ่าน ลิงก์  ที่มีทั้งข้อเขียน และข้อคิดเห็นที่ท่านจำต้องเล่า
และอย่าแสดงความคิดเห็นใดๆ ระวังผิดกฎหมาย  พลาดก็จะถูกดำเนินคดี
Read only
=======
ท่านพระครูก็คงเหมือนผม  เหมือนท่านมหานรินทร์  ยึดพระราชจริยาวัตร รัชกาลที่ ๓
”ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์“  คือเดินสายกลาง รู้เห็นทราบ  นิสัย พฤติกรรม สมี อลัชชี ทุสีล
ว่าทำผิดหลากหลายระดับ  ปะปนกับพระดี  ในวงการวัด จึงมีพระดี พระทุสีล
ปะปนกันมานานนับพันปี  ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ยุ่งกัน  หลายรูป ผมระแคะระคาย
แต่แสร้งบ้าใบ้หนวกบอด  เพราะบางราย บวชมาแล้ว  ไม่คิดว่าตนจะมาไกลถึงจุดนี้
อะไรที่เคยทำไม่ดีไว้  ก็ปรากฏด้วยกรรมของตน ลบไม่ออก   กฎอิทัปปัจจยตา
เพราะทำสิ่งนี้ จึงมีผลอย่างนี้  ทำงานเที่ยงตรงเสมอ   คือ ใครทำดีไว้ ย่อมได้ดี
ใครทำบาปไว้ ย่อมได้ผลชั่ว  ทว่าถ้าใคร อย่าง ”ต“ อปกติ
ตั้งแต่คำสอนขัดหลักบุร่ำบุราณ  เช่น ทำตัวเป็นอริยะ ท้าทายพระมหาเถระ
อ้าง ”แบ็คดี“ หนุนหลังให้ ”เหลิง“ จน ”หลงลืม”  อ้าง “สัจจลิขิต” ยกตัวดูเป็นอริยะ
เที่ยวทำนายทายทักคนเป็นโสดาบันตาม  แล้วพยายาม “ล้มล้าง“
เปลี่ยนแปลง แนวปฏิบัติ ให้ทำสิ่งที่ตัวพยายาม  สร้าง brand เช่น ที่เป็นข่าว ในเวลานี้
หลายคนเริ่มไม่ “ทน”
ไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินอย่าง “ผม”  ฟัง “จุดเดือด” ที่เริ่ม “ก่อหวอด” ต่อต้าน “ต”
เช่น บางรูป ประกาศไม่รับสมณศักดิ์ ขอลาออก  เป็นพระ มีแค่ฉายา ปฏิบัติธรรมเงียบๆ
ไม่ขอช่วยงานปกครองสงฆ์  คณะสงฆ์ ถ้าพระสังฆาธิการ ยกพวก ลาออกเรื่อยๆ
สมณศักดิ์ ที่ตั้ง จะไปใช้ปกครองใคร  เพราะไม่เหลือใครให้ปกครอง อีกต่อไป
ฝากให้ “ต” และพวก นำความไปครุ่นคิด  เวลานี้ ไพร่อย่างผม ก็ได้แต่ “สะท้อน”
หวังว่าจะฉุกคิด และโยนิโสมนสิการ  ท่านพระครู ก็ดี ท่านมหาก็ดี  ล้วนคิดเห็นตรงกันโดยบังเอิญ
ในความ “อปกติ” ของ “ต”  และมีคิดเห็นตรงกันแบบนี้ อีกจำนวนมาก
ผมสะท้อนแค่ “บางส่วน”  ของภารกิจ ปกป้องภัยพุทธศาสนา
ที่ “ต” ย้ำ “ต” ไม่หยุด  “ต” ส่งสัญญาณแปลกๆ มาตลอด
แต่ฝ่ายสนับสนุน คล้ายมีอะไรบังตา  มองปัญหาไม่ออก คิดว่า “ต” คือพระ “ปกติ”
ผมรวบรวมข้อมูลเงียบๆ รอวัน “รบ” แตกหัก  กับพระที่ปกป้องพระธรรมวินัย จำนวนน้อยราย
พอมี
สถานการณ์ ตามที่ผม scenario  คาดการณ์ว่า ถ้า “ต” รุกคืบเรื่อยๆ
ก็จักนำไปสู่ความแตกแยกรุนแรงในวงการสงฆ์ ทำนายได้ตามหลักวิทยาการวิจัยชั้นสูงแค่นี้
ต และพวกสนับสนุน   นำความไปขบคิดกันเอาเอง
ทำไมถึงมีคนและพระ “อารยะขัดขืน”  ลุกขึ้นโจมตีและต่อต้าน ต
จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ  ยกเว้นที่ยังหวังแค่ “สมณศักดิ์”
ที่เหลือ จักกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว”  ไม่มีใครยอม “ต” และพวก อีกต่อไป …..
ลงที่ท่านพระครูวิเคราะห์โดนใจพระจำนวนมาก ให้อ่าน และเปิดใจ พิจารณา ข้อห่วงใย พระครูฯ สายวัดป่า
เข้าใจว่า ท่านคง “เหลืออด” อัดอั้นตันใจกับ “ต” ย้ำชัด “ต” ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ “ประมุขสงฆ์” แสดงออก ต่างกรรมต่างวาระ   ต พยายามอ้าง และ “สมจริง” ตีเนียน ต่อต้านแสดงออก ลักษณะ “เอาคืน” ประมุขสงฆ์
หลายประเด็น ที่ “หมิ่น” “ด้อยค่า” ดึง “องค์สังฆบิดร”   “องค์เลขาฯ” ครั้งแล้วครั้งเล่า  ล้วนชวนคิดว่า “ด้อยค่า”  ชัดเจนตรงประเด็น ที่คนกลางๆ เช่น ผม “มองออก”
ว่า “ต“ พยายาม ”ครอบงำ“ มจร บ้าง วงการต่างๆ บ้าง โดยมีผู้สนับสนุน ”ฝากตัวรับใช้นาย“
ชักใย เดินเกมส์ แบบโนสน โนแคร์   จนหลงระเริง คิดว่าทุกคนยอม ”ต“
ลืมไปว่า ทุกคนยอมรับกันที่ ”กตัญญูกตเวที“  ทุกคน ล้วนนับถือเลื่อมใส องค์ประมุขรัฐ
และองค์สังฆบิดร แต่เคลือบแคลงสงสัย  ต กับพวก   โดยเฉพาะ รายที่แอบ ซุ่มในที่ลับ
ชักใย อยู่หลังม่าน  คอยสนับสนุน ต ก่อการ อันอปกติ
ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า  รายนี้ ตกเป็นจำเลยสังคม ในเวลานี้
คือคนเริ่มรู้ทัน ว่านี่คือผู้สนับสนุนหลัก  ควรพิจารณาโดยถอนตัวถอยห่าง
ชื่อเสียงจึงจะกลับเป็นปกติ  ความนิยมชมชอบในความดีที่เพียรทำ
ก็จะกลับคืนดีดุจเดิม  แต่ถ้ามัวลากกันต่อไป ต ก็จะพาลงอบาย
ไม่ใช่นิพพาน ตามที่คาด  จากภาพลักษณ์ ”นางฟ้า“ วันนี้ สงฆ์กลุ่มหนึ่ง
ที่ไม่สนใจ ”สมณศักดิ์“  บัญญัติคำสรรพนามใหม่ ลับหลัง ”นางกาลกิณี“
ผมสะท้อนให้ใช้ “คันฉ่อง” ใช้ self assessment   หยุดคิด ตั้งสติ ตั้งหลัก
คิดได้ ก็เลิกสนับสนุน ต
กลับมาเป็น “นางฟ้า” สุนทรีวาณี   อยู่กับวงการบาลี นักธรรม ธรรมศึกษา
สนับสนุน ปริยัติ ปฏิบัติ ตามแนว  ร. ๑ ร. ๒ ร. ๓ ร. ๔ ร. ๕ ร. ๖
จะได้คะแนนนิยมดีกว่าพัวพันกับ ต  ผมเล่า ผมสื่อสาร ด้วยเมตตา
ไม่มีเหตุผลอื่นใดใดๆ ที่เล่า ผมใช้ เมตตา นำ ไม่มีความคิดอื่น
ให้ช่วยกันห่วงใย พระศาสนา โดยไม่ล้มล้าง  ขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ เช่น “กรวดน้ำ”
และอย่าบังอาจ อวดอ้าง ตนเป็น “อริยะ”
สมเด็จ มหาเถระต่างๆ กระจอก เป็นแค่ “ปุถุชน”
อย่ายกตนข่มท่าน พระสายปกครอง ท่านจะเป็นปุถุชนก็จริง แต่ท่านนำพุทธมาได้ สองพันกว่าปี ท่ามกลางความขัดแย้ง “หลักพระธรรมวินัย” แต่ก็รอดมาได้ ในลักษณะ
“พุทธ ผี พราหมณ์” ไม่ใช่อ้าง พระรัตนตรัย บังหน้า คล้ายกลุ่มอ้างเอาแค่ “พุทธวจน” ไม่เอา “อรรถกถา” แต่ราย ต หนักกว่าคือ “เหิมเกริม” กล้าไม่เอา “บาลี” ล้มล้างสวดมนต์ที่ รัชกาลที่ ๕ กับสมเด็จพระสังฆราช สา เปรียญ ๑๘ ประโยค ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ จนเกิดมีหนังสือ
สวดมนต์ฉบับหลวง ซื้อมาอ่านได้ ศึกษาผลงาน ร. ๕ กับพระสังฆราช สา ได้ ที่ มูลนิธิมหามกุฏ
การล้มล้าง ประเพณีดีๆ อย่างสวดมนต์บาลี
แบบที่ ร. ๕ กับสังฆราชริเริ่ม เป็นนวัตกรรม   อุบายวิธีธำรงค์รักษาพระบาลี  บอกตรง รู้สึก ผิดหวัง กับความดี ที่เพียรสร้าง   แล้ว ต นำขบวน ทำลายย่อยยับ พังทลายลงตรงหน้า   ไม่มีชิ้นดี ผิดครั้งเดียว ลบล้างความดีที่ทำนับสิบปี  นับแต่ปี ๒๕๕๙ ไพร่อย่างผม สะท้อนได้ แค่นี้ …
ด้วยเหตุผล ไม่อยากเห็นสงฆ์แตกแยก  แตกสามัคคี เพราะ ”ต“ เรื่องแล้วเรื่องเล่า..

Leave a Reply