เสียงสะท้อนจากเจ้าอาวาส ถึง “มหาเถรสมาคม”

วันที่ 31 กรกฏาคม 2568 เกิดแรงกระเพื่อมเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในหมู่คณะสงฆ์ หลังจากเมื่อวานนี้ มหาเถรสมาคม มีมติให้วัดทุกวัดมีคณะกรรมการบริหารทรัพย์สินวัด ล่าสุด พระพระครูนิรมิตวิทยากร (วิทยา กิจฺจวิชฺโช) เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน บ้านห้วยม่วง ต.แม่นาวาง อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า

เราไม่โอเค ที่ มหาเถรสมาคม มีมติให้ทุกวัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ทำหน้าที่กลั่นกรอง ถวายข้อเสนอแนะเจ้าอาวาส ในการวางแผน กำกับ ดูแล และจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปด้วยดี

ที่จริง แต่ละวัดก็มีคณะกรรมการวัดคอยดูแลบริหารจัดการทุกอย่างภายในวัดอยู่แล้ว เพราะวัดเป็นนิติบุคคล ต้องมีคณะกรรมการบริหารงานช่วยเจ้าอาวาส แต่อำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ก็ยังคงเป็นของเจ้าอาวาส ในทางพระวินัยต้องถือสงฆ์เป็นใหญ่ เพราะของทุกอย่างภายในวัดล้วนเป็นของสงฆ์

จริงอยู่ แม้คณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดที่ให้จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ กำหนดจำนวนอย่างน้อย ๕ คน จะมีเจ้าอาวาสเป็นประธาน และมีไวยาวัจกรเป็นกรรมการและเลขานุการ ยังกำหนดให้มีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการบัญชีอีก ๑ คน และตัวแทนภาคประชาชน ผู้นำชุมชน หรือข้าราชการที่น่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับได้ อีก ๒ คน

ที่จริง วัดปกครองตัวเองโดยชอบด้วยธรรมด้วยวินัย ก็ดีอยู่แล้ว การตั้งกรรมการฆราวาสเพื่อมากลั่นกรอง และถวายคำแนะนำแก่เจ้าอาวาส ก็อาจเป็นชนวนให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันได้ ถ้ากรรมการเกิดไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าอาวาส ทั้ง ๆ ที่เจ้าอาวาสปฏิบัติการโดยชอบด้วยธรรมด้วยวินัย แต่เผอิญไปขัดผลประโยชน์ของผู้นำชุมชน ก็จะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที

ฆราวาสเขาไม่มีศีล หรือมีก็เอาแน่นอนไม่ได้ ตั้งกรรมการซ้ำซ้อนกัน ก็มีแต่มาทะเลาะกันเปล่า ๆ วัดใหญ่ ๆ ในตัวเมืองที่มีผลประโยชน์เยอะ อาจจำเป็นต้องตั้งก็ตั้งไป แต่บางวัดที่อยู่บ้านนอกคอกนาไม่มีผลประโยชน์ จะหาคนเข้าวัดทำบุญก็ยังหายาก ไม่ต้องไปพูดถึงว่า จะตั้งกรรมโกงกรรมการอะไรหรอก

ที่จริง กรรมการชุดใหม่นี้ ก็ไม่มีอำนาจอะไร ทำหน้าที่กลั่นกรอง หรือถวายคำแนะนำ แก่เจ้าอาวาส ก็เท่ากับตั้งไว้เพื่อให้มาทะเลาะกับเจ้าอาวาสเท่านั้นเอง ถ้ายังเห็นพ้องต้องกันอยู่ก็ดีไป แต่ถ้าเกิดขัดแย้งกันเมื่อไหร่ ก็คงได้วางมวยใส่กัน

จะทำอะไรก็ให้สงฆ์ประชุมหารือกันตัดสินใจกันในหมู่สงฆ์ก็ดีแล้ว กรรมการวัดก็มีแล้ว ไวยาวัจกรก็มีแล้ว ยังจะไปเอาผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นำชุมชนมาวุ่นวายอีกทำไม พวกนี้มันอาจมีการเมืองแอบแฝง และเขายินดีที่จะมาทำงานให้วัดหรือเปล่า ต้องจ้างไหม บางวัดหาไม่ได้ หาไม่มี จะทำอย่างไร

มหาเถรสมาคมควรคำนึงถึงวัดที่อยู่บ้านนอกคอกนาในชนบทห่างไกลความเจริญบ้าง อยากรู้บ้างไหมว่า ท่านมีความเป็นอยู่อย่างไร ขบฉันกันอย่างไร เคยคิดที่จะไปดูกันบ้างไหม จะเอาแต่ออกกฎระเบียบโดยไม่ดูความเป็นจริงบ้างเลย จะเอาอย่างนั้นหรือ?

โดยส่วนตัวเราเห็นว่า ไม่ควรออกกฎหมายมาบังคับทุกวัด วัดไหนอยากจะตั้งก็ตั้งไป วัดไหนไม่อยากตั้ง หรือตั้งไม่ได้ ก็อยู่เฉย ๆ ไป อยู่กันด้วยธรรมด้วยวินัย นั่นแหละ ดีที่สุดแล้ว

เรื่องภายในวัดให้สงฆ์เป็นใหญ่ ให้สงฆ์จัดการกันเอง ก็ถูกต้องเหมาะสมดีแล้ว อย่าเอาพฤติกรรมของพระที่ทำไม่ดีมาเป็นเหตุออกกฎหมายบังคับให้พระสงฆ์ทั่วประเทศต้องปฏิบัติตาม เดี๋ยวจะไม่มีใครเป็นเจ้าอาวาส วัดจะร้างลุกลามไปทั่วประเทศ

อย่ามองพระว่า เป็นผู้ต้องสงสัยที่จะทำชั่ว ชาวพุทธจึงไม่ควรมาระแวง หรือมาสงสัยในพฤติกรรมของพระสงฆ์ จะทำให้พระไตรสรณคมน์ในใจตนเองเศร้าหมองเสียเปล่า

พระดียังมีอยู่อีกมาก เพราะพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งของโลก สมควรปฏิบัติต่อพระสงฆ์ด้วยความเคารพจึงจะจรรโลงพระพุทธศาสนาเอาไว้ได้

พระที่ประพฤติปฏิบัติไม่ดี จะถูกกำจัดไปเองด้วยกรรมของเขา จึงไม่ควรฉกฉวยโอกาสเอาการกระทำของพระไม่ดีเพียงไม่กี่รูป มาเป็นเหตุออกกฏระเบียบควบคุมพระสงฆ์ ราวกับเห็นท่านเป็นนักโทษ จะพากันวิบัติฉิบหายกันไปเสียทั้งหมด

อย่าเอากฎหมายมาใหญ่กว่าพระธรรมวินัย กฎหมายใดขัดต่อพระธรรมวินัย กฎหมายนั้น ต้องถือเป็นโมฆะ

#ดอยแสงธรรม_๒๕๖๘_๐๗

ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๘ มีมติสำคัญ คือการเห็นชอบเรื่อง ขอให้วัดทุกวัดแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด และนำระบบบัญชีวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปใช้ในการดำเนินงาน

มหาเถรสมาคม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการสนองพระนโยบายของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม

เรื่องการจัดการทรัพย์สินของวัด โดยในที่ประชุมมหาเถรสมาคม ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๘ วันพุธ ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมีสมเด็จพระธีรญาณมุนี ปฏิบัติหน้าที่ประธานในการประชุมคราวนี้

พร้อมด้วยกรรมการที่มาประชุมทุกรูป ร่วมกันพิจารณาแนวทางให้วัดทุกวัดมีคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สิน และให้ทุกวัดจัดทำบัญชีตามแนวทางที่มหาเถรสมาคมมีมติไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยที่ประชุมครั้งนี้มีมติเห็นชอบ ความสรุปดังนี้

๑.เพื่อให้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล มีการควบคุมสอดส่องแนะนำและดูแลจากผู้ทรงคุณวุฒิและชุมชน และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้วัดทุกวัดแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ทำหน้าที่กลั่นกรอง ถวายข้อเสนอแนะเจ้าอาวาสในการวางแผน กำกับ ดูแล และจัดการศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี

โดยมีองค์ประกอบต่อไปนี้

(๑) เจ้าอาวาส เป็นประธานกรรมการ

(๒) ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินหรือบัญชี อย่างน้อยจำนวน ๑ คน เป็นกรรมการ

(๓) ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชน ไม่น้อยกว่า ๒ คน เป็นกรรมการ ทั้งนี้ อาจเป็นผู้นำชุมชน ผู้มีบทบาทในการพัฒนาชุมชน หรือมีตำแหน่งหน้าที่ราชการในชุมชน เป็นที่ยอมรับในสังคม และเป็นผู้มีจริยธรรมดีงาม ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย และไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษหรือเคยต้องโทษคดีอาญา

(๔) ไวยาวัจกร เป็นกรรมการและเลขานุการ ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายคฤหัสถ์ในการจัดการทรัพย์สินวัดตามคำสั่งเจ้าอาวาส  มีวาระดำรงตำแหน่ง คราวละ ๒ ปี เมื่อหมดวาระอาจตั้งใหม่ในชุดเดิมก็ได้ ถ้ากรรมการคนใดมีข้อบกพร่อง ไม่เหมาะสม หรือไม่สามารถปฏิบัติงานได้ เจ้าอาวาสอาจให้พ้นตำแหน่งก่อนครบวาระก็ได้

๒.ให้วัดทุกวัดนำระบบบัญชีวัด ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งได้จัดทำและเผยแพร่เป็นแนวทางปฏิบัติไว้ ตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๔๙๕/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ มาใช้ในการดำเนินการทางบัญชีของวัดโดยเคร่งครัด

Leave a Reply