ด้วยพระบารมี “สังฆบิดร” ดับความกังวลพระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล

วันที่ 10 สิงหาคม 2568 ประกาศสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคมเรื่อง แนวปฏิบัติในการส่งมอบข้อมูลของวัด ตามข้อหารือเบื้องต้นในที่ประชุมคณะกรรมการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๒๒/๒๕๖๘

สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม รับพระบัญชา เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม โปรดให้ประกาศว่า

ตามที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๒๒/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ได้มีมติขอความร่วมมือและขอรับทราบข้อมูลในด้านต่างๆ ของวัด นั้น

ต่อมาเกิดความปรากฏว่า มีแนวปฏิบัติที่ลักลั่นกันและอาจมีการกระทำที่ก่อให้เกิดความระส่ำระสาย รู้สึกเป็นภัยคุกคาม เกิดความปริวิตกในคณะสงฆ์ จึงขอให้ดำเนินการซักซ้อมความเข้าใจและประสานรายละเอียดยังส่วนราชการต่างๆ เพื่อความกระจ่างร่วมกัน ดังนี้

๑. ในกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติประสานขอข้อมูลรายละเอียดต่างๆ สมควรสอบถามจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด หรือบูรณาการความร่วมมือกันในการจัดทำฐานข้อมูล ทั้งนี้ หากมีปัญหา อุปสรรค หรือข้อสงสัยเป็นรายจำเพาะกรณี ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสอบถามแนวปฏิบัติมายังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อจักได้พิจารณาตอบข้อสงสัยต่อไป

๒. บรรดาข้อมูลส่วนบุคคล รวมไปถึงบัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีส่วนบุคคล อันเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่มีกฎหมายคุ้มครอง หน่วยราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอความร่วมมือในการขอข้อมูลได้ ในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม

๓. เมื่อสอบถามจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือบูรณาการร่วมกันแล้ว พบว่าจำเป็นต้องขอข้อมูลตามข้อ ๑ และข้อ ๒ ตลอดจนข้อมูลอื่นด้วยการเข้าไปในบริเวณศาสนสถานต้องดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายและจารีตประเพณี กล่าวคือ

๓.๑ ต้องประสานงาน ด้วยวิธีการอันละมุนละม่อม และเหมาะสม ในฐานที่เจ้าพนักงานไปขอความอนุเคราะห์ข้อมูลจากพระภิกษุสามเณรและประชาชนผู้ที่มิได้กระทำความผิดตามกฎหมายมิได้เป็นอาชญากร หรือมิได้เป็นผู้ต้องสงสัย การเข้าบริเวณพื้นที่วัดเพื่อขอข้อมูลต้องมีการประสานงานล่วงหน้า ใช้กิริยาวาจาที่เหมาะสมตามมารยาทสังคมไทยซึ่งฆราวาสพึงปฏิบัติต่อพระภิกษุสามเณร และไม่เข้ามาในบริเวณวัดในเวลาวิกาล หรือกระทำการใดๆ ให้เกิดทัศนคติเชิงลบ ก่อให้เกิดภาวะหวาดวิตกในหมู่พุทธบริษัท อันทำให้ความสามัคคีและสายสัมพันธ์ของบ้าน วัด และระบบราชการ ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมไทย ต้องถูกกระทบกระเทือน

๓.๒ หากมีการขอรับข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการบนหลักการพื้นฐานเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หากเจ้าอาวาสไม่ยินยอม เจ้าหน้าที่ไม่สามารถข่มขู่หรือบังคับให้ส่งมอบข้อมูล หากมีการข่มขู่หรือบังคับ อาจเข้าข่ายกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

๓.๓ พึงเข้าใจร่วมกันในเชิงนโยบายว่าการขอรับข้อมูล เป็นการขอความร่วมมือ เพื่อจัดทำฐานข้อมูลร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มิใช่เป็นการตรวจสอบเพราะเกิดกรณีการกระทำความผิดตามกฎหมาย

๔. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดประสานความร่วมมือกับคณะสงฆ์ ในการเฝ้าระวังสังเกต ถวายความรู้ และป้องกันมิให้เกิดพฤติการณ์ที่อาจมีมิจฉาชีพ หรือบุคคลผู้ไม่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย อาจใช้โอกาสนี้กระทำการข่มขู่ หลอกลวง หรือบังคับพระภิกษุสามเณรหรือวัดให้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือข้อมูลจำเพาะของวัด โดยปราศจากอำนาจตามกฎหมาย หรือยังมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย หรือมิเป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมหรือตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาสงฆ์

๕. มติมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านศาสนสมบัติ เป็นแนวทางภายในที่มหาเถรสมาคมกำหนดเป็นมาตรฐานกลาง สำหรับวัดที่มีความพร้อมและวัดที่มีศาสนสมบัติมาก สำหรับวัดที่ยังไม่มีความพร้อมให้อนุวัตตามความเหมาะสม การดำเนินการตามมตินี้ จึงมิได้มีเจตนารมณ์ให้เกิดภัยต่อคณะสงฆ์ แต่เป็นการวางแนวทางเพื่อป้องกันมิให้เกิดการทุจริตอันเนื่องด้วยศาสนสมบัติของวัด ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา และเป็นการปกป้องคุ้มครองวัดและพระภิกษุสามเณรซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมาย

๖. มีพระบัญชาโปรดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรียนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสั่งการให้เป็นไปตามหลักการต่อไป กับทั้งเชิญพระบัญชาไปแจ้งมหาเถรสมาคม ในการประชุมมหาเถรสมาคม ในวันที่๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๘ รับทราบและให้คณะสงฆ์ถือปฏิบัติ ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการแล้ว ให้นำมติมหาเถรสมาคมดังกล่าว กราบทูลทราบฝ่าพระบาทด้วย

ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๘

Leave a Reply