“ผู้เขียน” สังเกตเหตุการณ์เข้าตรวจสอบวัดหลายแห่งนอกหน่วยงานรัฐมุ่งเป้าไปที่ “เงินวัด” ว่าใช้จ่ายถูกวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคหรือไม่ ตอนหลังอย่างน้อย 2 วัดที่มีข้อมูลชัดว่ารัฐพยามเข้าไปตรวจสอบ “เงินมูลนิธิ” ของวัดนั่น ๆ ด้วย อย่างเช่นวัดบางคลาน ที่มี “ข่าวแว่ว” มาว่าเหตุที่ เจ้าอาวาสที่ต้อง “ลาออก” เกี่ยวข้องกับเงิน “มูลนิธิ” หรือกรณี “ล่าสุด” วัดพระบาทน้ำพุก็เกี่ยวข้องกับ “มูลนิธิ”
ปัจจุบันวัดใหญ่ ๆ หลายวัดในกรุง ไม่ว่าจะเป็นวัดโพธิ์ท่าเตียน วัดบวร วัดมหาธาตุฯ วัดไตรมิตร หรือต่างจังหวัดที่เป็นวัดใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ล้วนมี “มูลนิธิ” ทั้งนั่น ตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการศึกษาพระภิกษุสามเณรบ้าง บำรุงพระอารามบ้าง สาธารณสงเคราะห์บ้าง การกุศลบ้าง หรือแม้กระทั้งมูลนิธิมหามกุฎ ที่ตั้งขึ้นเพื่อผลิตตำราทางพระพุทธศาสนา ดูแลศาสนสมบัติ อันนี้ไม่นับรวม “มูลนิธิ” สายวัดป่า หลวงปู่ ครูบาทั้งหลาย ที่บางแห่งมีเงิน “ฝากธนาคาร” นับพันล้านบาท
“มูลนิธิ” เหล่านี้ ความจริงมีวัตถุประสงค์ดี แต่ระยะหลัง ๆ มีมูลนิธิบางแห่ง ภาครัฐ อาจมองว่าเป็นแหล่ง “แสวงหาผลประโยชน์” ผู้ใกล้ชิดเจ้าอาวาส หรือเข้าไปมี “อิทธิพล” เบียดบังทรัพย์ไปอยู่ในชื่อของกรรมการบางคน ซึ่งเข้าข่าย “ฟอกเงิน”

“ผู้เขียน” จึงฝากเตือน “มูลนิธิ” ทั้งหลายที่นำเงินไปใช้ “ผิดประเภท” เช่น ซื้อที่ดินบ้าง ซื้อพันธบัตรบ้าง หรือไปสร้างถาวรวัตถุผิดประเภท เตรียมรับ “แรงกระแทก” ส่วนมูลนิธิที่ทำ “ถูกต้อง” ต้องเตรียมเอกสารการดำเนินการให้พร้อมรับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง!!
ตอนนี้ “ภาครัฐ” กำลังจัดระเบียบ “วัด -พระสงฆ์” เพื่อตบเข้าสู่ “พระธรรมวินัยและกฎหมาย” ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 67 ที่บัญญัติไว้ว่า “รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”

มาตรานี้บัญญัติชัดเจนว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่แค่เรื่องศรัทธา แต่เป็นภารกิจของรัฐที่ต้องดูแล “ส่งเสริม” และ “คุ้มครอง” ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศด้วยและสาระสำคัญการอุปถัมภ์และคุ้มครองของรัฐนั่นรัฐ ธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ระบุชัดต้องเป็นพระพุทธศาสนาแบบ “เถรวาท” เท่านั่น
“ผู้เขียน” เป็นห่วง “ความเมตตา -ความหวังดี” ของคณะสงฆ์ที่ อยากช่วยสังคม ประเทศชาติ ทนลำบากตราตรำ ระดมทุนหาเงิน เพื่ออุดช่องว่างระหว่างรัฐกับประชาชน สงเคราะห์ประชาชนน้ำท่วม ไฟไหม้ เจ็บป่วยติดเตียง สงเคราะห์ชุมชนหมู่บ้าน เช่น ให้ทุนการศึกษา สร้างบ้านให้คนยากไร้ สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สร้างถนน หรือแม้กระทั้งอาคาร “หน่วยงานรัฐ” แต่สถานการณ์ตอนนี้ เสมือน “ภาครัฐ” ไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้สักเท่าไรแล้ว

เพราะว่ามี “คนบางกลุ่ม” มองว่าบทบาทเหล่านี้ ไม่ใช่หน้าที่ที่พระภิกษุสงฆ์สาย “เถรวาท” ที่พึงกระทำ การบำเพียรแบบนี้เป็นเรื่อง “มหายาน” เป็นเรื่องของ “พระโพธิสัตว์”
พระที่ดีตาม “อุดมคติ” คนกลุ่มนี้เมื่อสละเรือนออดบวชแล้ว ครองครองผ้า 3 ผืน อยู่โคนไม้ ฉันยาด้วยน้ำมูตรเน่า ต้องไม่รับเงิน ต้องไม่ฉันหรูอยู่สบาย เพราะเป็นภัยต่อการประพฤติ “พรหมจรรย์” และสิ่งสำคัญเมื่อเข้ามาสู่ครองผ้ากาสาวพัตรแล้ว ต้องมี “พระนิพพาน” เป็นเป้าหมายอันสูงสุดเท่านั้น
เรื่องหน้าที่ “สังคมสงเคราะห์-การช่วยเหลือประชาชน” เป็นเรื่องของรัฐ
หรือแม้กระทั้งมีคน “บางกลุ่ม” พยายามไม่ให้พระรับ “นิตยภัต” หรือขอให้ยกเลิก “สมณศักดิ์”
“ผู้เขียน” เคยสื่อสารหลายครั้งแล้วว่า “สมณศักดิ์” เป็นเรื่องของ “พระราชอำนาจ” พระราชาจะให้หรือไม่ให้ จะยกเลิกหรือไม่ยกเลิกล้วนเป็นเรื่องของ พระราชอำนาจทั้งสิ้น!!


Leave a Reply