ภาคต่อของสงครามชายแดนใต้ที่ อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นิยามใหม่ว่าเป็น “สงครามหลายโดเมน”
อ่านประกอบ : ไฟใต้ยุคใหม่ : สงครามหลายโดเมน
ไปแกะรอยความคิดกันต่อ กับยุทธศาสตร์แยกดินแดนของบีอาร์เอ็น ที่เรียกกันว่า “แผนบันได 7 ขั้น” อาจารย์สุรชาติอธิบายใหม่ด้วยสงครามคอมมิวนิสต์ ก่อนจะสรุปว่าบีอาร์เอ็นยังไปไม่ถึงขั้นที่ 2 ด้วยซ้ำ
และสิ่งที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ บีอาร์เอ็นเองนั่นแหละที่กำลังสร้าง “วัฒนธรรมเดี่ยว” ในภาคใต้ แต่กลับชี้นิ้วด่ารัฐว่าพยายามสร้างวัฒนธรรมเดี่ยวเชิงพุทธ
@@ ฝ่ายความมั่นคงไทยเชื่อว่า บีอาร์เอ็นมีสิ่งที่เรียกว่า ‘แผนบันได 7 ขั้น’ เพื่อแยกดินแดน ตอนนี้เขาอยู่ขั้นไหนแล้ว?

ทฤษฎีบันได 7 ขั้น เริ่มจากเอกสารที่ทหารพบอยู่ในตัวของผู้เสียชีวิตจากการต่อสู้ แล้วก็ถูกนำมาใช้อธิบายว่า ตกลงพวกเขากำลังสร้างบันได 7 ขั้น
ผมคิดว่าในบันได 7 ขั้น พวกเขาเชื่อว่าถ้าเอาปล้นปืนปี 47 เป็นจุดเริ่มต้น อีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นจะเดินขึ้นถึงขั้นสุดท้าย คือขั้นที่ 7 หรือคำอธิบายคือเปิดสงครามปฏิวัติในภาคใต้
แต่ผมคิดว่าพอหลังจากปล้นปืน แล้วเกิดกรือเซะ ตามมาด้วยตากใบ เอาเข้าจริงๆ สถานการณ์มันเดินไม่ได้อย่างที่พวกเขาคาดหวัง เวลาฝั่งตรงข้ามรัฐเขียนแผน ย้อนไปดูแผนการเขียนต่อต้านรัฐทั่วโลก คนเขียนแผนต่อต้านมักจะมีความฝันใหญ่ที่เชื่อว่าอีกไม่นานสงครามจะจบ ต้องไม่ลืมว่า สงครามภาคใต้จากปี 2547 วันนี้ 2568 กว่า 21 ปีแล้ว สงครามคอมมิวนิสต์ในไทยรบ 18 ปี ใครจะเชื่อว่าสงครามภาคใต้จะรบยาวกว่าสงครามคอมมิวนิสต์
กลับมาที่บันได 7 ขั้น ถ้าถามว่าอยู่ขั้นไหน ผมอธิบายอีกแบบหนึ่ง คือในสงครามคอมมิวนิสต์ เราอธิบายเพียง 3 ขั้น เพื่อให้ง่าย คือ ‘รับ – ยัน – รุก’ ผมคิดว่าถ้าอธิบายด้วยเงื่อนไขวิธีคิดทางยุทธศาสตร์ของ ‘สงครามอสมมาตร’ หรือ ‘สงครามกองโจร’ มันมีแค่ 3 ขั้น คือ ‘รับ – ยัน – รุก’
ในสภาวะแบบนี้ตอบได้ชัด ความไม่สงบในภาคใต้ยังอยู่ใน ‘ขั้นรับ’ หรือ ‘ขั้นเบื้องต้น’ คือฝ่ายที่ก่อเหตุยังไม่สามารถยกระดับสงครามได้มาถึง ‘ขั้นยัน’ หมายถึงกำลังของทั้งสองฝ่าย ‘ยัน’ ตรึงกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ในเวลา 20 กว่าปีนี้จะเรียกบีอาร์เอ็นหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมขอเรียกว่ากลุ่มที่ติดอาวุธในภาคใต้ที่ไม่ใช่รัฐ ยังอยู่ในเพียงแค่ ‘ขั้นรับ’ ยังไม่สามารถยกระดับได้เกินกว่านั้น แม้ว่าจะถูกอธิบายว่ายกระดับการก่อเหตุ ด้วยการก่อเหตุที่มีรูปแบบที่หลายหลายมากขึ้น มีการวางระเบิดที่ซับซ้อนมากขึ้น
แต่บนเงื่อนไขทางยุทธศาสตร์ของสงคราม บีอาร์เอ็นจะอยู่บันไดขั้นไหนคงไม่ใช่ประเด็น แต่ขั้นตอนของสงครามอสมมาตร หรือสงครามนอกแบบ สงครามของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังอยู่เพียงแค่ขั้นแรก
@@ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด และยังไม่หยุดคือ การใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาใส่ในนักเรียนปอเนาะ เยาวชน เพื่อสร้างนักรบรุ่นใหม่…

ผมคิดว่าตรงนั้นคำอธิบายมันค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่สิ่งที่เราเห็นในภาพรวมที่พอจะพูดได้คือ ประวัติศาสตร์ชุดนี้มันถูกประกอบสร้างและออกแบบเพื่อรองรับกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรง แล้วกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงก็เป็นสายพานที่ป้อนคนเข้าระบบ และมันป้อนไม่หยุดนะ
แล้วผมกลัวว่าในระยะหลังการจัดเวทีบางเวทีที่เกิดในพื้นที่ นี่คือตัวอย่างของ ‘สายพาน’ ที่ชัดเจนที่สุด เพราะในการจัดกิจกรรมเหล่านั้นเห็นชัดถึงคนหนุ่มสาวที่ถูกดึงเข้ามาผ่านวาทกรรม ผ่านมิติของการใช้ภาษาบางส่วน ผมว่าอันนี้เราเห็นชัด
ผมไม่ได้บอกว่ารัฐไทยจะไม่ตอบรับกับชีวิตของพี่น้องมุสลิม ผมไม่ได้บอกว่ารัฐไทยควรจะมีลักษณะของวัฒนธรรมเดี่ยว แต่ผมกำลังเสนอว่าถ้าเราจะมีพหุวัฒนธรรมจริงๆ ผมว่ารัฐไทยไม่ได้ปฏิเสธ
ผมไม่ได้พูดในจุดยืนของความเป็นนักชาตินิยมไทย แต่ผมคิดว่าย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ความพยายามตั้งแต่ยุคสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 จะเห็นความพยายามของราชสำนักสยามที่จะแก้ปัญหาและแก้แบบพหุวัฒนธรรม บีอาร์เอ็นต้องไม่โกหก เพราะถ้าบีอาร์เอ็นย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ จะเห็นข้อเท็จจริงว่า ราชสำนักใน 2 พระมหากษัตริย์ทำอะไรกับพื้นที่ ทำในความหมายคือพยายามจะสร้างมิติเชิงบวกกับพื้นที่
ยุคสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงขั้นมีการผลิตคู่มือเลย ผมว่าคนรุ่นหลังหรือกระทรวงมหาดไทยอาจจะนึกไม่ถึง ผลิตหนังสือคู่มือราชการสำหรับคนที่จะไปรับราชการที่มณฑลปัตตานี ผมก็คนรุ่นหลัง หนังสือนี้ทำปี 2466 วันนี้ 2568 แล้วนะ ผมคิดว่านี่คือตัวอย่างซึ่งเรานึกไม่ถึงว่าในยุคเก่าก็มีความพยายามที่จะสร้างพหุวัฒนธรรม
มันอาจจะมีบางจุดบางเวลาที่อาจจะมีความผิดพลาด ผมว่าต้องยอมรับ ในช่วงที่มีสงครามคอมมิวนิสต์ รัฐกลัวอย่างเดียว กลัวเรื่องความมั่นคงใหญ่ กลัวเรื่องคอมมิวนิสต์ และก็มองปัญหาตรงนั้นเป็นปัญหาคอมมิวนิสต์ จุดนี้ต้องยอมรับว่ารัฐไม่ละเอียดที่จะแยกระหว่างปัญหาของพี่น้องมุสลิมกับปัญหาของพรรคคอมมิวนิสต์ที่เคลื่อนไหวอยู่ในภาคใต้
แต่หลังจากการสิ้นสุดสงครามคอมมิวนิสต์ รัฐไทยไม่ได้มีจุดยืนที่เป็นรัฐวัฒนธรรมเดี่ยว แต่ความน่าสนใจคือ บีอาร์เอ็นต่างหากที่เสนอความเป็น ‘รัฐวัฒนธรรมเดี่ยว’ เพราะบีอาร์เอ็นฆ่าพระสงฆ์ ฆ่าครู ฆ่าคนพุทธที่มีตำแหน่งในระดับท้องถิ่น
ผมว่าเราเห็นกรณีอย่างนี้เยอะ ในตัวแบบ 3 ส่วน รวมถึงการเผาสถานที่ที่เป็นผู้ประกอบการชาวพุทธ และรวมถึงการบุกเข้าทำลายสวนยางของพี่น้องชาวพุทธ ตอบได้เลยว่าบีอาร์เอ็นกำลังดันพี่น้องคนพุทธออกจากพื้นที่ โดยเชื่อว่าถ้าพวกเขาชนะ พื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่วัฒนธรรมเดี่ยวของพี่น้องมุสลิม
ผมอยากจะฝากบีอาร์เอ็นว่า ให้คุณย้อนกลับไปดูต้นตระกูลของมุสลิมในจักรวรรดิออตโตมัน ผู้บริหารจักรวรรดิออตโตมันที่เป็นมุสลิม และบรรดามุสลิมที่ปัตตานีให้ความเคารพ ตั้งแต่อดีตก็ไม่ใช่รัฐที่ละเลยความเป็นพหุวัฒนธรรม แต่ผมว่าบีอาร์เอ็นวันนี้กำลังสร้างความเป็นวัฒนธรรมเดี่ยว
ผมฝากถามแนวร่วมและบรรดาผู้ที่สนับสนุนที่เชื่อว่า บีอาร์เอ็นเป็นพหุวัฒนธรรม แล้วรัฐไทยเป็นวัฒนธรรมเดี่ยว ผมฝากถามให้คิดด้วยความมีสติและมีเหตุผลมากกว่านี้ วันนี้บีอาร์เอ็นต่างหากที่กำลังล้างวัฒนธรรมที่มีความเป็นพหุด้วยการกวาดล้างคนพุทธออกไปจากพื้นที่ และไม่ต้องพูดนะ เพราะเราไม่เห็นอีกมิติหนึ่ง แต่เห็นในบางประเทศในกรณีที่มีการล้างอีกส่วนหนึ่งคือวัฒนธรรมที่เป็นของพี่น้องชาวคริสต์
ต้องไม่ลืมว่าในปัตตานีมีพี่น้องคนคริสต์อยู่พอสมควร ไม่ได้มีแค่พุทธนะ แปลว่าวันนี้โดยพื้นที่ดั้งเดิม 3 จังหวัดเป็นพหุวัฒนธรรมโดยตัวเอง แต่วันนี้บีอาร์เอ็นต่างหากที่กำลังล้างความเป็นพหุวัฒนธรรม และสร้างวัฒนธรรมเดี่ยวให้เกิดในพื้นที่
@@ หรือว่าต้นทางอาจจะถูกปรุงแต่ง แต่รัฐไทยละเลยที่จะออกมาพูดเรื่องจริง?

ผมคิดว่าเราอาจจะคิดเรื่องของความมั่นคงเยอะ ก็คือวางน้ำหนักไว้กับเรื่องทางทหาร การควบคุมพื้นที่ เพราะว่าเวลามีเหตุการณ์ความไม่สงบ การควบคุมพื้นที่มันมีนัย
ต่อมาคือการรักษาความปลอดภัยกับทุกฝ่าย แต่พอเราอธิบายไปหลายโดเมนอย่างที่ทดลองคลี่กันมา จะเห็นชัดเลยว่า โดเมนประวัติศาสตร์ก็สำคัญ แล้วมันสำคัญทุกโดเมน โดเมนทหารวันนี้ก็ไม่ใช่โดเมนทหารง่ายๆ แล้ว พอปี 70 การสับเปลี่ยนกำลังต้องเกิดโดยเงื่อนไขยุทธศาสตร์ชาติ แล้วตกลงจะเอาอย่างไร จะมีคำตอบอย่างไร ตกลงจะลดกำลังทหารเพื่อให้ อส.จากมหาดไทยเข้าไปรับ ถ้าต้องเตรียมปี 70 ปีนี้ปี 68 ก็คิดได้เพียงแค่ 1 ปี คือแค่ปีหน้าแล้วนะ
ก็มีคำถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า ตกลงในปีหน้าที่จะต้องเตรียมเข้าสู่ยุทธศาสตร์ปี 70 กระทรวงมหาดไทยได้เตรียมเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด โจทย์สงครามการเมืองเป็นอะไรที่เราไปเผชิญ และเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแฝงด้วยสงครามแนวร่วม
โจทย์สงครามโซเชียลมีเดียก็ใหญ่มาก สงครามในเวทีต่างประเทศก็ใหญ่ สงครามในมิติประวัติศาสตร์ มิติทางสังคมใหญ่หมดเลย แต่ว่าถ้าเราแยกซอยออกมาเป็นหลายโดเมนก็ไม่ต่างกับที่ผมอธิบายเรื่องสงครามหลายโดเมน หรือ Multi Domain Warfare ในบริบทของกัมพูชา ภาคใต้ก็เป็น Multi Domain Warfare อีกแบบหนึ่ง ไม่ต่างกัน
ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้มันขมวดอยู่ประเด็นเดียว คือฝั่งรัฐ ทั้งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดคงต้องคิดมากขึ้น เพราะเนื่องจากเวลาที่ทอดนานมากขึ้น มันทำให้ปัญหาความรุนแรงมีความซับซ้อนมากขึ้นในตัวเอง
แล้วในความซับซ้อนที่มากขึ้น ผมคิดว่าต้องยอมรับคือสายพานลำเลียงคนเข้าสู่โรงงานของผู้ก่อเหตุมันเปิดการผลิตตลอดเวลา ไม่ได้หยุดงาน ไม่มีเวลาต้องรอโอทีในการผลิต มันนำคนรุ่นใหม่เข้าไปเรื่อยๆ
ความน่ากลัวคือ 20 กว่าปีมันอาจจะเผชิญกับคนรุ่นใหม่อีกชุดหนึ่งที่กำลังเดินออกจากโรงงาน หรือเดินออกจากสายการผลิตชุดนี้
@@ ในปี 70 ถ้าเราไม่พร้อมสับเปลี่ยนกำลังจากทหารเป็น อส. จะเกิดอะไรขึ้น?

ก็จะต้องถูกบังคับให้พร้อม เพราะกฎหมายบังคับโดยเงื่อนไขของกระบวนการ ก็ต้องไปถามว่าใครเป็นรัฐบาลปี 70 และรัฐบาลปี 70 จัดเตรียมรับสถานการณ์ชุดนี้อย่างไร และใครคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในปี 70 และ ผบ.ทบ.พนา (พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผอ.ทบ.) ปีนี้ปีที่ 2 ก็จะอยู่อีกปีหนึ่ง เป็น 3 ปี ผมก็ไม่แน่ใจปี 70 จะเป็น ผบ.ทบ.ท่านใหม่หรือเปล่า รวมถึงแล้วใครจะเป็นเลขาธิการ สมช.
ส่วนหนึ่งเป็นโจทย์ในอนาคต ซึ่งพอถึงปี 70 ตัวละครคือ 1.นายกรัฐมนตรี 2.รองนายกฯ ความมั่นคง 3.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 4.เลขา สมช. และ 5.ผบ.ทบ. ซึ่ง 5 คนในยุคนั้นจะต้องตอบเรา ณ วันนั้น แต่ ณ วันนี้ 5 คนนี้จะตอบอะไร
แต่การกระทำในวันนี้จะส่งผลต่อวันข้างหน้าแน่นอน แล้วขณะเดียวกันมันไม่ใช่แค่การกระทำ โจทย์ชุดนี้บังคับวิถีให้เราเดินอยู่ คน 5 คนจะตอบอย่างไร นายกฯ รองนายกฯความมั่นคง รมว.มหาดไทย เลขา สมช. แล้ว ก็ ผบ.ทบ. จะเห็นโจทย์ชุดนี้ ผมไม่รวมกลาโหม เพราะปัญหาภาคใต้โดยเงื่อนไขของกระทรวงไม่ใช่กระทรวงกลาโหมโดยตรง
ผมคิดว่าปัญหาภาคใต้ถ้าเราสร้างแบรนด์ภาพของสงครามหลายโดเมน มันบอกได้อย่างเดียวว่า มันต้องการการคิดทั้งขบวน หรือคิดแบบเป็นแพ็คเกจชุดใหญ่ คิดเป็นเศษเสี้ยวไม่ได้แล้ว
วันนี้เราลืมไปว่าในปัญหาภาคใต้ หลายกระทรวงมีบทบาท โดยเฉพาะ 2 กระทรวงใหญ่ หรืออาจจะ 3 กระทรวงใหญ่ ที่ผมคิดว่าควรมีบทบาทมากขึ้น คือ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงยุติธรรม อย่างน้อย 2 กระทรวงใหญ่ เกษตรฯ ศึกษาฯ ต้องแบ่งแล้วล่ะ เพราะการพัฒนางานเกษตรยังเป็นเรื่องใหญ่
และอย่าลืมที่เราคุยเรื่องโดเมนการศึกษา ใหญ่มาก ต้องคิดและอาจจะต้องคิดกันใหม่หลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโอกาสให้พี่น้องมุสลิมที่จะต้องเข้าสู่ภาคการศึกษาไม่ว่าจะการศึกษาอย่างไร สุดท้ายพี่น้องมุสลิมเหล่านี้ จะต้องเข้ามาเป็นแรงงานเพื่อสร้างอนาคตของพื้นที่
หรือในระดับจุลภาค เขาจบมาเพื่อสร้างอนาคตของครอบครัวและชีวิตเขา แปลว่าเราต้องคิดหลายโดเมน ทั้งหมดนี้เรียกร้องอย่างเดียว ต้องคิดมากขึ้น คิดละเอียดขึ้น และคิดด้วยภาพที่เป็นมหภาคมากขึ้น
@@ อาจารย์บอกว่าในมุมของการศึกษาเป็นโดเมนใหญ่ ทีนี้มีคนบางกลุ่มที่ใช้หมวกมหาวิทยาลัยจัดเวทีแฝงการเสวนาปลูกฝังแนวคิดสุดโต่ง แนวคิดแบ่งแยก แนวคิดวัฒนธรรมเดี่ยว อาจารย์มองอย่างไร?
เราก็คงหยุดเขาไม่ได้ ผมเชื่อว่าในสงครามหรือในความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าบีอาร์เอ็นหรือฝ่ายที่ต่อต้านรัฐไทยในภาคใต้ประสบความสำเร็จเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง คือการสร้างแนวร่วม
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าการเคลื่อนไหวที่ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลร่วมกัน เราจะเห็นชัด ในกรณีเปรียบเทียบสงครามในมินดาเนา ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ เมื่อถึงจุดสุดท้ายที่นำไปสู่การจัดตั้ง ‘บังซาโมโร’ เราจะเห็นบทบาทของ NGO ที่เป็นแนวร่วม แต่เป็นแนวร่วมที่ไม่ทิ้งรัฐ และช่วยให้รัฐให้สามารถดำเนินงานได้
แต่ในบริบทของไทย ถ้ามองจากปัญหาภาคใต้ ถ้าผมใช้ภาษาที่หลายท่านอาจจะตะขิดตะขวงใจนิดหนึ่ง ผมคิดว่าเรามีแต่แนวร่วมต่อต้านรัฐบาล เพราะเป็นกลุ่มที่รับชุดความคิดที่เชื่อว่ารัฐผิดทุกอย่าง แล้วบีอาร์เอ็นหรือผู้ก่อเหตุถูกทุกอย่าง
แต่ว่าวันนี้ชุดความคิดในหมู่คนทำงานพัฒนาก็สุดโต่ง ความน่าแปลกใจสำหรับผมคือทำไมคนทำงานพัฒนาที่เห็นพื้นที่จึงคิดสุดโต่งแบบขาวกับดำ แล้วเชื่อว่าทุกอย่างรัฐผิดหมด ทุกอย่างฝ่ายตรงข้ามรัฐถูกหมด ถ้าคิดอย่างนี้เท่ากับบอกว่าการฆ่า การวางระเบิด การเผาก็มีความชอบธรรมใช่หรือไม่
ถ้าเป็นเช่นนั้นบรรดาแนวร่วมต้องตอบว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความชอบธรรมในกระบวนการฆ่าและการสังหารพี่น้องในพื้นที่ที่ไม่ใช่แค่พี่น้องชาวพุทธใช่หรือไม่ ในพื้นที่มีทั้งพี่น้องชาวพุทธ พี่น้องมุสลิมสายกลางที่ถูกสังหาร รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ข้าราชการทุกส่วน บรรดา NGO ที่เชื่อแบบขาวดำคงต้องตอบแล้วล่ะ
@@ แนวความคิดที่จะกำจัดคนพุทธให้หมดพื้นที่ มันเป็นไปได้หรือ?

ผมคิดว่าคงเป็นมิติทางความเชื่อ ยกตัวอย่างถ้าเราดูวิธีการที่กลุ่ม IS ทำในบริบทของอิรัก ในซีเรีย เราก็เห็น ผมคิดว่าชุดความคิดสุดโต่งอธิบายได้อย่างเดียว พอรับชุดความคิดที่เป็นวาทกรรมแบบสุดโต่ง ใครที่ไม่อยู่ในสายความเชื่อเดียวกันก็กลายเป็นข้าศึก เป็นภัยคุกคาม
ผมคิดว่าอธิบายจากมุมของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง เราเห็นชัด คือแม้กระทั่งความขัดแย้งระหว่างกลุ่มติดอาวุธที่เป็นชีอะห์ กับสุหนี่ ก็เป็นโจทย์ใหญ่ สงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านก่อนการสิ้นสุดของสงครามเย็น เป็นภาพสะท้อนใหญ่ที่สุดคือ สงครามระหว่างรัฐที่นับถือมุสลิมเหมือนกัน แต่ต่างนิกาย แล้วก็รบกันเป็นสงครามใหญ่ในช่วงปลายสงครามเย็นเราก็เห็น
ฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ผมคิดว่าทำอย่างไรที่บีอาร์เอ็นจะต้องยอมรับความจริงว่า จะเป็นพหุวัฒนธรรมก็ต้องเปิดรับ ในท้ายที่สุดบีอาร์เอ็นยอมรับไหมว่าตัวเองกำลังสร้างวัฒนธรรมเดี่ยว หรือบรรดาแนวร่วมบีอาร์เอ็นที่อยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และในพื้นที่ที่เปิดการเคลื่อนไหว ยอมรับไหมว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กลุ่มติดอาวุธกำลังสร้างพื้นที่ที่เป็นวัฒนธรรมเดี่ยว
โจทย์อีกอันหนึ่งที่เป็นโจทย์ที่ถกไม่จบในโดเมนสังคม มันซ้อนเรื่องหนึ่งคือการศึกษาของพี่น้องมุสลิมในสามจังหวัด ในการศึกษาเราเห็นสอนศาสนา ตั้งแต่ ตาดีกา ปอเนาะ แต่ในมุมหนึ่งในโลกสมัยใหม่ คงต้องยอมรับแล้วล่ะว่า ถ้าจบการศึกษาคำตอบเดียวคือคนต้องเข้าตลาดงาน
ผมเชื่อว่าพี่น้องใน 3 จังหวัดไม่ว่าจะเป็นพี่น้องมุสลิม พี่น้องไทยพุทธ หรือพี่น้องไทยคริสต์บางส่วน เมื่อจบใน 3 จังหวัด คำตอบที่ต้องตอบให้ได้คือจะมีอาชีพอะไร เราจะเห็นคนต่างจังหวัดส่วนหนึ่งก็ต้องเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ต่างกับพวกเราที่อยู่ในภาคอื่นๆ ของประเทศ
การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรือการมีการศึกษาที่สูงขึ้น เป็นหลักประกันเดียวคือจะมีโอกาสได้งาน แล้วก็มีโอกาสที่จะสร้างชีวิตที่ดี ผมเชื่อว่ามิติอย่างนี้ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่ถูกครอบด้วยมิติของความรุนแรงทั้งหมด ผมเชื่อว่าพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดไม่ได้ต่างกับชีวิตพี่น้องไทยพุทธหรือไทยคริสต์ที่อยู่ในภาคอื่นๆ ทุกคนอยากจบ อยากมีงาน อยากสร้างครอบครัว
ผมเชื่อว่าถ้าเป็นอย่างนี้บริบทของการคิดเรื่องการพัฒนาทางเศรษฐกิจก็มีความละเอียดอ่อน ผมว่าโจทย์ชุดนี้ไม่แน่ใจว่าเราคิดมากน้อยเพียงไร เพราะว่าจริงๆ ก่อนปล้นปืน ผมเคยได้ยินว่า รัฐบาลทักษิณ 1 มีความคิดในพื้นที่ตรงนี้อยู่พอสมควร เพียงแต่พอปล้นปืนแล้ว มิติของการพัฒนาเศรษฐกิจมันก็ไม่สามารถผลักดันได้
ผมเชื่อว่าถ้าสถานการณ์มันเบาบางลง แล้วสามารถเปิดเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจได้มากขึ้นในพื้นที่ ผมคิดว่าโจทย์ชุดนี้เป็นโจทย์ที่น่าถก ผมเชื่อว่าหลายท่านที่ดูเราอยู่หน้าจอ ถ้าใครเคยลงพื้นที่ ผมเคยพูด ผมไม่ใช่คนใต้โดยตรง แต่มีโอกาสลงไปในพื้นที่ ผมว่าหลายพื้นที่ อย่างกรณีของยะลาอุดมสมบูรณ์มาก เป็นจังหวัดหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ ยะลาเป็นเมืองที่ผังเมืองดีที่สุดในประเทศไทย
วันนี้ผมได้รับข่าวสาร เช่น การจัดการท้องถิ่นของผู้บริหารท้องถิ่นก็ผลักดันได้มาก ผมเคยถามกับน้องๆ ในสื่อที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ คำถามคือยะลามีร้านกาแฟมากขึ้นไหม เขาบอกมากขึ้น ก็แปลว่าสัญลักษณ์ด้านหนึ่งมันก็เห็นความเปลี่ยนแปลง
ฉะนั้นผมยังเชื่อว่าถ้าสถานการณ์การสู้รบเบาบางลง เราอาจจะต้องผลักดันให้รัฐคิดและพัฒนาในมิติต่างๆ ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่ารัฐไทยไม่มีชุดความคิดที่จะสร้างพื้นที่วัฒนธรรมเดี่ยว และมันก็เป็นไปไม่ได้ในโลกสมัยใหม่ เพราะในหลายพื้นที่ของภาคอื่นของประเทศไทย ผมเชื่อว่าก็ไม่ได้อยู่ในบริบทของวัฒนธรรมเดี่ยว เป็นแต่เพียงมันซ้อนกันและไม่มีความขัดแย้ง จนเราลืมไปว่าในหลายพื้นที่มันมีวัฒนธรรมท้องถิ่นเดิมซ้อนอยู่
เอาล่ะ…ผมอาจจะเป็นคนโดยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ผมเป็นคนภาคเหนือตอนล่าง ผมก็มีวัฒนธรรมทางบ้านผม เพียงแต่มันอาจจะกลืนไปเยอะ แต่อย่างภาคเหนือตอนบน ผมว่าวัฒนธรรมท้องถิ่นก็ยังแข็ง อีสานวัฒนธรรมท้องถิ่นในหลายพื้นที่แข็งเลย เป็นไปได้ไหมที่เราจะเห็นความกลมกลืนของพี่น้องจะต่างความเชื่อทางศาสนา เป็นศาสนิกต่างศรัทธากัน แต่ก็อยู่ด้วยกัน
ผมเชื่อว่าใครที่เคยอ่านพวกงานเขียนยุคเก่าๆ ของสามจังหวัด ผมไม่ได้โรแมนติก ผมเชื่อว่าพี่น้อง 3 ศาสนาอยู่ด้วยกัน มีงานบุญก็ทำงานบุญด้วยกัน คนเล่าเยอะว่าในอดีต วันที่พี่น้องคนพุทธมีงานบุญ พี่น้องมุสลิมก็มาช่วยงาน วันที่พี่น้องมุสลิมมีงานบุญ พี่น้องพุทธก็ไปไม่ได้มีปัญหาอะไร
แต่ความน่าเสียดาย หลังปี 47 สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วอาจจะต้องขออนุญาตใช้คำว่า นั่งดูในฐานะนักวิชาการที่ทำเรื่องความมั่นคงมานาน กังวลกับเส้นแบ่งชีวิต เพราะมันทำให้คนรุ่นใหม่ที่โตระหว่างพี่น้องพุทธ พี่น้องมุสลิมหรืออาจจะมีนัยของพี่น้องชาวคริสต์ด้วย เส้นแบ่งมันเริ่มแบบขาด คือเริ่มรู้สึกถึงความเป็นเขาเป็นเรามากขึ้น ไม่มีภาพซึ่งคนอาจจะบอกว่าผมโรแมนติกนะ แต่ผมเชื่อว่าในหลายพื้นที่ในช่วงก่อนปล้นปืน ผมว่าสภาวะที่วันที่ใครมีงาน อีกบ้านหนึ่งก็ไปช่วยอีกฝั่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แต่วันนี้มันกำลังถูกตีเส้น
ผมเปรียบเทียบกับกัมพูชา ผมคิดว่าปัญหาไทยกัมพูชา ถามว่าคำตอบสุดท้ายที่อยากเห็นอะไรในทางรัฐศาสตร์ ตอบง่าย…เราอยากเห็นเส้นเขตแดนที่ชัดเจน แต่ปัญหาที่ผมกังวลในสามจังหวัด ผมไม่อยากเห็นเส้นแบ่งเขตแดนทางวัฒนธรรมที่ชัดเจน เพราะถ้ามันเกิดอย่างนั้น มันจะสานชีวิตของคนในสามจังหวัดไม่ได้ในอนาคต มันนานมาก วันนี้ไม่ใช่ 20 ปีแล้ว แต่เป็น 22 -23 ปี
————————–
ขอบคุณ : โชฏิมา จันทร์คง รายการสืบสวนความจริง เนชั่นทีวี ผู้สัมภาษณ์
สำนักข่าวอิศรา


Leave a Reply