“ปิยโสภณ” เขียนถึง “อดีตพระพรหมเมธี”

วันที่ 3 มิถุนายน 2568 พระเทพวัชรญาณกวี หรือนามปากกาว่า “ปิยโสภณ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดกับ “อดีตพระพรหมเมธี” ได้เขียนถึง”วิถีชีวิต”และ “คุณสมบัติ” ของอดีตพระพรหมเมธี ที่กำลังจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย หลังต้องลี้ภัยอยู่ประเทศเยอรมนีถึง 7 ปี มีหลากหลายมุมที่น่าสนใจว่า

ธรรมชาติชีวิต มีได้ มีเสีย มีเป็น มีเปลี่ยน มีสุข มีทุกข์ มีคู่ มีคี่ มีดี มีชั่ว เกลือก กลั้วกันไป ไม่ยกเว้นใคร มองชีวิตให้เข้าใจว่า มีอยู่ มีจาก มีพราก มีพร้อม ผู้สร้างบารมี มักจะมีคู่กรรมมาทดสอบเสมอ เหมือนกับธรรมชาติ มีร้อน-หนาว ขาว-ดำ ต่ำ-สูง มี มืด มีสว่าง ในทะเลมีคลื่นลม ในกิเลส มีนิพพาน ในวัฏสงสาร มีบารมี ในทุกข์ มีธรรม ในกรรม มีอโหสิกรรม

ชีวิตของหลวงพ่อพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธัมมจารี) ในอดีตเคยส่องแสงงดงาม เฉิดฉายดั่งดวงอาทิตย์ มาอีกช่วง กลับมืดมิดดั่งคืนเดือนดับ เหมือนอาทิตย์ถูกเมฆหมอ กดบดบัง มาถึงวันนี้ เมฆหมอกกำลังจะจางหาย ด้วยสายธาราแห่งเมตตาธรรม ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และพระเมตตาคุณ ที่ทรงห่วงใย แสงเงินแสงทองกำลังทอแสงบน ขอบฟ้าทิศตะวันออก หลวงพ่อท่านเจริญเติบโตอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ มาแต่เยาว์วัย ชีวิต จิตใจของท่านอยู่ที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้น ท่านจึงขอฝากชีวิตจิตวิญญาณไว้ที่นี่  ชีวิตท่านมีจุดเด่นที่น่าศึกษาอยู่หลายด้าน คือ

1. ท่านบวชตั้งแต่เล็ก ไม่เคยใช้ชีวิตทางโลก ท่านบริสุทธิ์และอ่อนด้อยต่อโลก ท่านบวชเป็นสามเณรตัวน้อย ตั้งแต่ 11 ขวบ ท่านเรียงร้อยชีวิต ศึกษาเล่าเรียน พากเพียรเรียนรู้สู้งานมาตลอด ท่านรักชีวิตนักบวช รักกาสาวพัสตร์ รักการห่มผ้าสีเหลือง ท่านมีความสุขที่ได้ครองผ้าจีวรอันเปรียบดั่งธงชัยแห่งพระอรหันต์ ท่านชอบชีวิตในวัด เพราะได้โอกาสสร้างบุญบารมี ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นที่ด้อยกว่า ท่านอาสาใส่ใจทำงานส่วนรวมไม่เคยลดละ ทั้งการคณะสงฆ์และประชาชน

2. ท่านมีอัธยาศัยไมตรีจิต มิตรภาพที่งดงาม มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไปมาหาสู่ดูแล แก้ไขใส่ใจคน ท่านมักจะไปเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้ไม่นั่งรอให้ใครมาหาฝ่ายเดียวโดยเฉพาะพระเถระในชนบท พระสงฆ์สามเณรในถิ่นกันดาร ท่านจะออกไปกราบ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทย ไปสนทนาธรรมและเยี่ยมเยียนคณะสงฆ์ทุกภูมิภาคอยู่เสมอ

3. ท่านมีความสุขในการพูดคุยสนทนาปลดเปลื้องความทุกข์ ชอบฟังเรื่องราว ชีวิต เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง ให้โอกาสคนแสดงฝีมือในด้านที่ตนถนัด เมื่อมีใครมาหา ไม่ว่าจะดึกดื่นเพียงใด ท่านก็อยู่คุยด้วย ท่านถือคติว่า อดมาต้องอิ่มไป ไข้มาต้องหายไข้ หนทางจะไกลเพียงไหน จะเหนื่อยเพียงใด ก็ไปช่วยให้ถึงที่สุด ท่าน เป็นพระเถระที่มีน้˚าใจงาม มีความจำเป็นเลิศ จ˚าเรื่องราว บุคคล เหตุการณ์ได้อย่าง แม่นยำแม้กาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม ท่านมีความเสมอต้นเสมอปลาย คิด การก้าวหน้า แสวงหาคนเก่งมาทำงานตลอดเวลา

4. ท่านไม่มีความคิดจิตอคติแบ่งแยกคนให้เป็นฝักฝ่าย ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร ปาก กับใจตรงกัน ไม่มีพิษภัยต่อใคร บางครั้ง งูไม่มีพิษ ก็มีสิทธิ์ถูกทุบได้ ท่านไม่เคยแบ่ง ภาคหรือนิกายในคณะสงฆ์ ถึงแม้ท่านบวชในธรรมยุติกนิกาย แต่ก็ให้ความเคารพรัก นับถือ ช่วยเหลือคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจะไปมาหาสู่เป็น กันเองอยู่ประจำ พระสงฆ์องค์ใดตกทุกข์ได้ยาก ท่านก็พร้อมจะเข้าไปโอบอุ้ม คุ้มครอง ปกป้อง แก้ไข ให้สติ ท่านให้เหตุผลว่า “นิกายเป็นของสมมุติ ความเป็นมนุษย์เป็นของ จริง เมื่อใจถึงใจ นิกายไหนก็สำคัญ” ท่านบอกว่าฆราวาสญาติโยมไม่เคยแบ่งแยกนิกาย พระต่างหากที่ก้าวไม่ข้าม คนเหมือนกัน สุขทุกข์ย่อมเหมือนกัน แปลว่า ท่านก้าวข้าม สิ่งกีดกั้นทางนิกาย หันมามองคนให้เป็นคน มองพระให้เป็นพระ ตามพระธรรมวินัย พระไตรปิฎกอันเดียวกัน

5. ท่านเป็นผู้ฝึกฝนตน เพราะเชื่อมั่นว่า คนที่ฝึกตนได้เท่านั้น จึงประเสริฐได้
ท่านฝึกทำงานตั้งแต่ยังเล็ก กับพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ แม้จะไม่เป็นเปรียญ แต่ก็มีความแตกฉานแม่นยำในหลักธรรม ท่านพูดธรรมะพร้อมยกเหตุผลและประสบการณ์จริง คนที่มากราบสนทนาด้วย จึงเข้าใจธรรมะได้ดี ธรรมะของท่านเข้าใจง่าย เพราะมี ตัวอย่างปัจจุบันประกอบทุกเรื่อง ผู้ไปมาหาสู่จะรู้ใจท่านดี ท่านไม่เคยทำให้ใคร ผิดหวัง หรือรู้สึกเก้อเขินเมื่อมาพบ ท่านไม่เคยเอาเปรียบใคร มีแต่ให้ ให้ความรัก ความหวัง และกำลังใจแก่คนทุกคน

6. ชีวิตทั้งชีวิต ท่านทุ่มเทอุทิศให้กับการรับใช้คณะสงฆ์ ประเทศชาติ และ สถาบัน ท่านมีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่สุดท่านบอกว่าชาติบ้านเมืองไทยสงบสุขร่มเย็นได้ก็เพราะองค์พระมหากษัตริย์ทรงใส่พระทัยในสุข ทุกข์ของประชาชน และทรงคุ้มครองปกป้องพระสงฆ์ ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของชาว พุทธ พระสงฆ์สุปฏิปันโน แม้จะอยู่ในป่าเขา พระองค์ก็เสด็จไปกราบนมัสการ ขอฟังธรรมเพราะกราบพระดีหนึ่งองค์ ได้ใจประชาชนนับแสนนับล้าน ด้วยเหตุนี้ ท่าน หลวงพ่อ จึงถือเอาการทรงงาน เป็นแบบอย่างในการทำงาน

7. ท่านมีความบริสุทธิ์ใจต่อเพื่อน มิตรสหาย เพื่อนสหธรรมิก ศิษยานุศิษย์ ท่านไม่มีความลับ ไม่มีความระแวงสงสัยต่อมิตรภาพ อาจจะมีแนวคิดข้อวินิจฉัยงานที่ แตกต่างกันไปบ้าง ซึ่งอาจไม่ตรงใจคนอื่น ไม่ต้องอัธยาศัยใครบางคน แต่ก็ทำด้วย ความจริงใจ นำเสนอข้อคิดความเห็นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ท่าน ไม่เคยพูดถึงใครในทางเสียหาย มีแต่เห็นอกเห็นใจผู้ถูกกระทำ ท่านถือคติว่า “ไม่ซ้ำเติมคนล้ม ไม่ทับถมคนผิด ซื่อตรงต่อมิตร อุทิศตนเพื่องาน”

8. เป็นเวลานานถึง 7 ปีแล้วหนอ ที่ทุกคนรอคอย (5 มิถุนายน 2561-5 มิถุนายน2568)
ที่ชีวิตท่านพระพรหมเมธี ถูกพรหมลิขิต ท่านต้องระเหเร่ร่อน นอนอ้างว้างค้าง แรมตามยถากรรมเป็นอยู่อย่างไร้ความหวัง ต้องดิ้นรนขวนขวายหาทางรอด ไปใช้ชีวิต ให้ปลอดภัยในต่างแดน ต้องบำเพ็ญตบธรรมอยู่ในประเทศเยอรมนี ขณะนั้น ท่านมี อายุ 77 ปี ขณะนี้ย่างเข้า 85 อยู่ในวัยชรา สุขภาพไม่อำนวย ความเจ็บป่วยเริ่มมาเยือน

ท่านต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ในฐานะผู้ลี้ภัย อยู่อย่างอัตคัตขัดสน ต้องทนอยู่ ทน ดู ทนฟัง ต้องอดทนจนเข้าใจว่า อยู่กับคนต้องทนให้ได้ กว่าพระอาทิตย์จะลับฟ้าในแต่ ละวัน ต้องทำใจอย่างไร้ความหวัง มีที่พึ่งสำคัญคือธรรมะ

9. ท่านเล่าว่า การอยู่คนเดียว ได้เห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ของลมหายใจ หรือ อานาปานสติ ตราบใดยังมีลมหายใจ ก็ชื่อว่ายังมีความหวัง เรียกว่า ท่านพลิกวิกฤตเป็น โอกาส เปลี่ยนนิราศให้เป็นบารมี ท่านได้โอกาสดีที่สุดในชีวิต 7 ปี ในการเรียนรู้ ทบทวน ธรรมะจากชีวิตจริง โดยเฉพาะขันติธรรม ท่านไม่เคยเสียใจแต่เข้าใจ ท่านไม่ เคยแสดงความน้อยใจในโชคชะตาชีวิต มีแต่ท˚าความเข้าใจ เห็นใจคนที่อยากมี อยาก เป็น อยากเปลี่ยน ท่านเข้าใจในโลกธรรม คือ ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ สุขทุกข์ ปรากฏ นินทา สรรเสริญ ล้วนเป็นเร่ืองธรรมดาของโลก

10.ธรรมะและเวลา ได้เยียวยาแผลใจของท่านได้อย่างลึกซึ้งงดงาม ท่านมีเวลา อยู่กับตนเอง ได้นิ่งสงบทบทวนชีวิตที่ผ่านมาอย่างละเอียดในกฎแห่งกรรม กฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งไตรลักษณ์ว่า สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นตั้งอยู่ และดับไป เสมือนสำเร็จ การศึกษาขั้นปริญญาเอก โดยใช้เวลานานถึง 7 ปี เขียนวิทยานิพนธ์จากชีวิตจริง เป็น เรื่องราวจากประสบการณ์นอกห้องเรียน ที่น้อยคนจะทำได้

11.ท่านเป็นพระสงฆ์ไทยรูปเดียว ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ ในการรักษาความเป็นธรรม ยืนหยัดความยุติธรรมแม้จะถูกกระทำย่ำยีเพื่อจะให้ผู้ใหญ่ทั้งในทางบ้านเมืองและคณะสงฆ์ได้ตระหนักว่าธรรมาภิบาลในบ้านเมือง ในสถาบันสงฆ์ มีจุดบกพร่องอย่างไร และควรจะเป็นปรับเปลี่ยนอย่างไร เพื่อความ ปลอดภัยในอนาคต อำนาจที่ขาดธรรม มักซ้ำเติมคนด้อย อำนาจที่ขาดเมตตา เหมือน ดาบคมแต่ไร้ฝัก

12.เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญยิ่งของคณะสงฆ์ไทย ทั้งยัง บอกให้รู้ว่า กิเลสตัณหาไม่เข้าใครออกใคร ความอยากมี อยากเป็น อยากเปลี่ยน ล้วน เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งสิ้น มองดูแล้ว ก็จะเห็นได้ชัดว่าความอิจฉาริษยา ได้สร้าง ความเสียหายร้ายแรงบอบช้ำเพียงใด มิใช่ชีวิตของหลวงพ่อพระพรหมเมธีเท่านั้นที่ บอบช้ำหากแต่ภาพรวมของพระพุทธศาสนา ภาพลักษณ์ของสถาบันสงฆ์ ก็บอบช้ำ สั่นคลอนไปด้วย ยิ่งกว่านั้น ยังสั่นคลอนต่อศรัทธาของชาวโลกอีกด้วย

13. วันนี้ จึงถึงเวลาที่จะได้คืนความเป็นธรรม คืนความยุติธรรมถวายคืนแก่ท่าน เมื่อยุติธรรม ก็ยุติกรรม เพื่อปลูกต้นรักแห่งมิตรภาพให้งอกงามต่อไป

14. ถึงเวลาแล้วที่สังคม จะต้องตั้งหลัก หันมามองเงื่อนไขบางอย่างในสังคม อุดมการณ์ในองค์กรให้ถ่องแท้ มองให้ไกลออกไปว่าอีกร้อยปีข้างหน้าสถาบันสงฆ์จะอยู่รอดให้ปลอดภัยได้อย่างไร หรือจะปล่อยให้อดีตเป็นหลุมพรางเส้นทางคด เป็น ปีศาจร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด คอยหลอกหลอนลูกหลานให้สะดุ้งกลัว ซ้˚าแล้วซ้ำเล่า กระทั่งวัดร้าง หนทางรก ถึงเวลาหรือยัง ที่จะได้ช่วยกันฟื้นฟูหลักการ ให้อนุชนรุ่น หลังได้มั่นใจว่า บรรพบุรุษ บุพการีของเรา ยังรักษาธรรม เชื่อมั่นในธรรม ให้ลูกหลาน ในอนาคต มั่นใจได้ว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมได้จริง ดั่งพุทธภาษิตที่ว่า
ธัมมจารี สุขัง เสติ ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข

Leave a Reply