หลังจากเเอกสาร มติ ครม.ว่าด้วย “ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ” เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ
มีทั้งคน “ชื่นชม” และ “วิจารณ์”
ฝ่ายที่ “ชื่นชม” มองว่ามาถูกทางแล้ว เนื่องจากที่ผ่าน “ชาวพุทธไทย” ปล่อยให้สถาบันสงฆ์มีพฤติกรรม “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” มานาน จนเกิดวิกฤติศรัทธา “เน่าเฟะ” วินัย 227 ข้อ เปรียบเสมือนตัวแทนของ “พระศาสดา” ก็ดี “หลักธรรมะ” เปรียบเสมือนตัวแทนของ “พระสมณโคตมะ” ก็ดี
ถูกภิกษุอลัชชีบางรูปฆราวาสบางคนนำไป “ตีความ” เข้าข้าง “ทัศนคติ” ตนเองจน “ป่นปี้” ไปหมด ยิ่งสังคมไทยเป็น “สังคมอุปถัมภ์” พวกมากลากไป เห็นชอบเป็นถูก เห็น “กงจักร” เป็นดอกบัว เชื่อ “ตัวบุคคล” มากกว่าเชื่อ “หลักการ” จนสับสนวุ่นวาย น้อยนักที่จะคำนึงถือพุทธดำรัสที่ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมนั้นและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอ เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว”

“ฝ่ายวิจารณ์” มองว่า “ระเบียบนี้” มหาเถรสมาคม “ถูกริบ” อำนาจ มหาเถรสมาคม “เสียท่า” แล้ว และบางคนมองไกลถึงขนาดที่ว่าเป็นระเบียบ “ฆราวาสปกครองพระ” โดยมี “สังฆราชานุมัติ” เป็น..เกราะป้องกัน
“ผู้เขียน” ยังไม่เห็นระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างระเอียด เห็นเพียงมติคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นเพียง “โครงสร้าง” เหมือนคนทั่วไป จึงไม่ขอวิจารณ์อะไรมาก
เพียงแต่ตั้ง “ข้อสังเกต” ว่าการเกิดขึ้นของระเบียบนี้ทำให้ “ศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา”ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูก“ยุบเลิก” ทันที
สังเกต “โครงสร้าง” ผู้เป็นประธานคณะกรรมการ “คพช.” เป็น “ฆราวาส” ซึ่งคาดว่า หากไม่เป็น “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ก็ “ธงทอง จันทรางศุ” คนใดคนหนึ่ง ซึ่งเป็นฆราวาส “สายตรง” จากศูนย์อำนาจ คงนั่งเก้าอี้ตัวนี้
“คณะกรรมการ” โดยตำแหน่ง 6 คน ไม่มี ปปช.เข้าร่วมมีแต่ ปปท. เว้น “ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม” นอกนั่นล้วนเป็น “สายแข็ง” คือ หน่วยงาน “มั่นคง-การเงิน” บังคับใช้กฎหมาย
“ผู้ทรงคุณวุฒิ” จำนวน 9 ท่าน ใช้คำว่า 9 คน ดูแล้วไม่มีตัวแทน “มส.” หรือ “พระภิกษุ” เข้าร่วมเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ในร่างนี้ระบุเพียงว่า..เป็นผู้ทรงวุฒิด้านพระพุทธศาสนาและด้านอื่น ๆ
คงไม่พ้นบรรดาอดีตข้าราชการ “คนเกษียณ” หรือ “ใกล้เกษียณ” ทั้งหลาย ไปนั่งเพื่อมิให้ “สมองฝ่อ” ป้องกันเป็นโรคติดเตียง
คิดว่าคงไม่มี “นักวิชาการ” หรือ ตัวแทน “ภาคเอกชน -ประชาชน” ถูกเชิญเข้าไปร่วม
“อำนาจหน้าที่ของ คพช.” มี 5 ประการ “ครอบคลุมจักรวาล” หากไม่พูดถึง..คณะวินัยธร-คณะธรรมธร แล้ว “มหาเถรสมาคม” แทบไม่ต้องคิดทำอะไร
มีหน้าที่แค่ “เห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ” อย่างเดียว
ในร่างระเบียบนี้ไม่ได้พูดถึง “สมณศักดิ์-ตำแหน่งปกครอง” เนื่องจากตั้งแต่เกิดมี พ.ร.บ.สงฆ์ 2505 แก้ไข พ.ศ.2561 “มหาเถรสมาคม” ถูกลดบทบาท “ริบอำนาจ” ไปเกือบหมดสิ้นแล้ว

หลังเห็นร่างระเบียบนี้จึงมี “เจ้าคุณ” รูปหนึ่ง สงเสียงถามว่า. มหาเถรสมาคม จะอยู่ตรงไหน!! มีไว้เพื่ออะไร??
“ผู้เขียน” ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า ไม่ทราบ??
พร้อมกับแสดงความ “คิดเห็น” เพิ่มเติมว่า
ร่างระเบียบนี้ดูจาก “โครงสร้าง” คล้ายกับว่า “มหาเถรสมาคม” มี “คณะอนุกรรมการ” ที่เป็น “ฆราวาส” ถูกดึงมาช่วยงานพระพุทธศาสนาเป็นคณะงาน ซึ่งเป็น “สิ่งดี” และคิดว่า ตอนร่างระเบียบนี้ “มส.” คงเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยแล้ว
และทั้งผู้เขียน “เห็นด้วย” และ “เรียกร้อง” มาตลอดว่า มหาเถรสมาคม มันต้องมี “ตัวช่วย” ในการกอบกู้ “วิกฤติคณะสงฆ์” และมันต้องมี “คณะอนุกรรมการ” คอยกลั่นกรอง “ข้อมูล” ทั้ง 6 ภารกิจของคณะสงฆ์ เพื่อเสนอให้ “มหาเถรสมาคม” พิจารณา รวมทั้งมันต้องมี “โฆษก” คอยชี้แจง ตอบโต้ อธิบายหลักพระวินัย กฎหมาย และจารีตประเพณีของคณะสงฆ์ให้สังคมเข้าใจ
ลำพัง “โฆษกหน้าอ่อน” คนเดียว แถลงทื่อ ๆ วาระกันประชุมของ มส. ซึ่ง “จืดชืด” ไร้รสชาติ คงมีแต่ “ช่างกล้อง” กับ “คนตัดต่อ” เท่านั่นที่ฟัง!!

“ผู้เขียน” คิดว่าการเกิดขึ้นของ “คณะวินัยธร -ธรรมธร” ในระเบียบนี้
เสมือนแปลง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ 2484 มาสู่ระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนานี้ และเมื่อพิจารณามติครม.นี้ “โมเดิร์น” ขึ้นมาหน่อยคือ มีการพูดถึง “คณะธรรมธร” ในขณะที่ พ.ร.บ.สงฆ์ 2484 ไม่ค่อยพูดถึง อาจเป็นเพราะยุคนี้มี “พระภิกษุ-คนสอนธรรมะ” ผุดขึ้นเป็นจำนวนมากจำเป็นต้อง..ควบคุม
ส่วนการวินิจฉัยเรื่อง “พระวินัย -หลักธรรมะ” ตามระเบียบนี้ก็ยังตกอยู่ในมือ..คณะสงฆ์
เพียงแต่อำนาจ “การคุ้มครองดูแลพระพุทธศาสนา” ตั้งแต่ระดับบน จนถึง ภูมิภาค ตกอยู่ในมือของ “ฆราวาส” ภายใต้ความเห็นชอบของ มหาเถรสมาคม เท่านั่น
“ผู้เขียน” ตั้ง “ข้อสังเกต” อีกประการหนึ่งคือ กรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาระดับจังหวัด ที่มี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และ เจ้าคณะจังหวัดทั้ง 2 นิกายเป็นที่ปรึกษา ซึ่งมี 3 ภารกิจ 4 อำนาจหน้าที่ ในข้อ 1 ระบุว่า มีภารกิจสนับสนุนอารักขาพระสังฆาธิการและพระวินยาธิการในการปกครองพระภิกษุสามเณรติดใจตรงคำว่า “สอดส่องตรวจสอบอาจาระของพระภิกษุสามเณร การดำเนินการให้พระภิกษุสามเณรสละสมณเพศ รวมทั้งสอดส่องและให้คำแนะนำการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารมวลชนให้เป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาเกียรติภูมิคณะสงฆ์และคุ้มครองภาพลักษณ์สถาบันพระพุทธศาสนา..”
“ผู้เขียน” ไม่เข้าใจว่า ใครเป็นคนตรวจสอบและให้พระภิกษุสามเณรสละสมณะเพศ กรรมการชุดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานนี้ ซึ่งไม่มี “พระภิกษุสงฆ์” เลย หรือมอบให้ “พระภิกษุสงฆ์” ดำเนินการแทน หรือ “กรรมกาชุดนี้” จับสึกได้เลย!!
และที่ว่าให้ “เจ้าคณะจังหวัด” เป็นที่ปรึกษา ท่านมี “บทบาทอำนาจ” มีแค่ไหน หรือตั้งไว้เพื่อเป็น “ไม้กันหมา” ตามคำแนะนำ ของ มหาเถรสมาคม เท่านั่นหรือไม่!!
และรวมทั้ง “สอดส่องข้อมูลการเสนอข่าวสารสื่อมวลชน” ระวังจะขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 34 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทํามิได้..”

ถึงอย่างไรก็แล้วแต่..!!
“ผู้เขียน” ขอชื่นชม “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่ “หาญกล้า” ทำเรื่องนี้ ถือว่า “หักดิบ” กล้าชนกับ “อำนาจฝ่ายสงฆ์” และคิดว่า “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ผ่านการบวชเป็น “ชาย 3 โบสถ์” มาแล้ว คงมีเจตนาดีต่อพระพุทธศาสนา มุ่งหวังให้พระพุทธศาสนา “ผุดผ่องและบริสุทธิ์” มิให้มี “อลัชชี-คนชั่ว” เข้ามาใช้ “หลักธรรมะ” หรือใช้ “สถาบันสงฆ์” เป็น “เครื่องมือหากิน” สร้างความ “มั่งคั่งร่ำรวย” ให้ตนเองครอบครัวและพรรคพวก รวมทั้งป้องกัน “สอนเพี้ยน” จากหลัก “เถรวาท” ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐพึงคุ้มครองและส่งเสริมการเผยแผ่
เพียงแต่อยากบอก “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ผ่านบทความนี้ว่า “ความคาดหวัง” ดังกล่าว จะประสบความ “สำเร็จ” หรือไม่ มันต้องขอความร่วมมือจากหลายฝ่าย ไม่เฉพาะฝ่าย “อนุรักษ์นิยม” ที่เป็นพระสงฆ์และชนชั้นนำอย่างเดียวเท่านั่น มันต้อง “รับฟัง” ความคิดเห็น พระภิกษุสงฆ์ องค์กรชาวพุทธ และประชาชนในภูมิภาคด้วย
และทั้งขอฝากทิ้งท้ายว่า “พระสงฆ์” เจ้ากูนี่ปรับตัวเก่งพอ ๆ กับข้าราชการนั่นแล!!
รายละเอียด มติครม.ว่าด้วยร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ หน้า 4 -7

Leave a Reply