“ขอให้ไปพูดคุยกับคนของกรมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ถิ่นทุรกันดาร ด้วย ไปดูการเป็นอยู่ วิถีชีวิตและการทำงานของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้คือผู้ปิดทองหลังพระ โคก หนอง นา ประชาชนให้ความสนใจกันมาก เกิดจากการทุ่มเทการทำงานของคนกรมการพัฒนาชุมชนทั้งนั้น เพื่อการอยู่ดี มีสุข ของประชาชน ช่วยไปดูและเขียนให้ประชาชนได้รับทราบตามความเป็นจริงหน่อย..”
“สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทยแนะนำการลงพื้นที่ให้ทีมงาน พร้อมกับเปิดเผยต่ออีกว่า การขับเคลื่อนโครงการ โคก หนอง นา ยังคงดำเนินต่อไป แม้ตนเองจะไปรับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้วก็ตามที

“ทีมข่าวเฉพาะกิจ” เดิมตั้งใจจะไปอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก แต่เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ถนนขาด น้ำท่วมฉับพลันจึงเบี่ยงเข็มไปยังจังหวัดที่ติดกับประเทศกัมพูชา คือ จังหวัดจันทบุรี แทน
“จังหวัดจันทบุรี” เป็นจังหวัดทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย สภาพภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบลุ่มน้ำ และที่ราบชายฝั่งทะเล ในส่วนของพื้นที่ป่าไม้มีประมาณ 3 ใน 10 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด เป็นจังหวัดที่มียอดเขาสูงสุดในภาคตะวันออก คือ เขาสอยดาว มีความสูง 1,675 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดจันทบุรีอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดโดยอาชีพที่ประชากรในจังหวัดนิยมประกอบอาชีพมากที่สุดคือเกษตรกรรมและประมง แบ่งการปกครองออกเป็น 10 อำเภอ 76 ตำบล 731 หมู่บ้าน การเดินทางใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 250 กิโลเมตร
“ทีมงานข่าวเฉพาะกิจ” ติดต่อขอความร่วมมือจากพัฒนาการจังหวัดว่า ขอลงพื้นที่ 2 อำเภอที่ติดกับชายแดน คือ อำเภอโป่งน้ำร้อน และ อำเภอสอยดาว ซึ่งคิดว่าน่าจะทุรกันดาร เพื่อไปพูดคุยกับคนของกรมการพัฒนาชุมชน และผู้ร่วมทำโคกหนองนา คิดเห็นอย่างไร
การลงพื้นที่อำเภอโป่งน้ำร้อนติดขัดเล็กน้อยหลังจากเกิดการผิดพลาด การประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่พัฒนาการชุมชนจังหวัดกับเจ้าหน้าที่พัฒนาการชุมชนอำเภอ เพราะทีมงานได้รับโทรศัพท์ จาก นพต.หรือ นักพัฒนาการพื้นที่ต้นแบบ คนหนึ่งว่า
“ทุกแปลงขุดของโคก หนอง นา มีอะไรให้ถามผม ทุกจุดผมรู้หมด ”
ทีมงานพยายามต่อรองนโยบายของอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ที่ต้องการให้ พูดคุยกับคนของกรมการพัฒนาชุมชนระดับผู้ปฎิบัติการหรือพัฒนาการอำเภอ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงานและสื่อสารให้สังคมภายนอกได้รับรู้ สุดท้าย นพต. คนเดิมบอกว่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปหาคนของกรมการพัฒนาชุมชนเอาเอง”
ทีมงานลงพื้นที่ 20 กว่าจังหวัดทั่วประเทศ ครั้งนี้ครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้ การลงพื้นที่ลังเลและหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่สุดท้าย “ตัดสินใจไป”
ตลอดเส้นทางไปสู่อำเภอโป่งน้ำร้อน และ อำเภอสอยดาว สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนลำใยที่กำลังออกผลและออกดอกเต็มสะพรั่ง สลับกับโรงงานคนต่างด้าวที่เราคุ้นเคยกับคำว่า “ล้งจีน” ในขณะที่เวลาขับรถเส้นในหมู่บ้านจะมีสวนทุเรียนเป็นหย่อม ๆ
“ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดิน สปก. มีทั้งหมด 48 ไร่ เดิมปลูกลำไยไว้ทั้งหมด ตอนนี้ดูแล้วลำไยไปไม่รอด เห็นไหมตอนนี้ลำไยเต็มต้น เชื้อราเริ่มลง เริ่มเน่า ราคาตกต่ำถูกกำหนดด้วยผู้ค้าจีนหมด ทำแล้วไม่เหลือ ในอดีตมิใช่แบบนี้
เมื่อกรมการพัฒนาชุมชนท่านชวนให้ทำโคกหนองนา ก็เลยตัดไปประมาณ 3 ไร่ ทำโคกหนองนา ตอนนี้ขุดสระเรียบร้อยแล้ว ต้นไม้ลงแล้ว ส่วนใหญ่เป็นไม้เศรษฐกิจ อยากทำพืชแบบผสมผสานหาเลี้ยงครอบครัว ปลูกผักปลอดสารพิษ..” เอก ประดิษฐ์ ชาวอำเภอโป่งน้ำร้อนในวัย 48 ปี เล่าให้ทีมงานฟัง

ที่ดินของเอก ตั้งอยู่บนภูมิประเทศเป็นเนิน การขุดสระและคลองไส้ไก่ ค่อนข้างได้มาตรฐานสวยงาม ตอนที่ทีมงานไปเดินดูมีต้นปอเทืองกำลังงอกเต็มพื้นที่
“เอก” บอกความคาดหวังในอนาคตว่า “นอกจากได้กินอาหารปลอดสารพิษแล้ว สิ่งหนึ่งที่อยากให้กรมการพัฒนาชุมชนเข้ามาดูแล คือ ช่องทางการตลาดผักอินทรีย์ปลอดสารพิษ ตรงนี้จะทำอย่างไร ให้คนทำโคกหนองนา มีรายได้จากตรงนี้เลี้ยงครอบครัวได้.”
ในขณะที่ “ดรุณี อำลอย” พัฒนาการอำเภอโป่งน้ำร้อน ซึ่งตามลงไปในพื้นที่กับทีมงานด้วย ได้บอกกับทีมงานว่า ที่โป่งน้ำร้อนมีคนเข้าร่วมโครงการโคกหนองนาทั้งหมด 53 แปลง มีทั้งขนาด 1 ไร่และ 3 ไร่ส่วนใหญ่ที่ดินเป็น สปก.
“ ตอนแรกเรามีปัญหาเรื่องแบบมาก ต้องโทรปรึกษากับอาจารย์ รักษ์เผ่า พลรัตน์ ที่ปรึกษาบ่อย ๆ เนื่องจากพวกเราคนของกรมการพัฒนาชุมชนไม่รู้เรื่องการขุดสระ ดูแบบ วัดที่ดิน ปริมาณดินที่ขุด เราไม่รู้เรื่อง ท่านจะให้ความรู้กับเราตรงนี้ได้ เวลาช่างท้องถิ่นเขามาถามเรา ส่วนผู้รับเหมาที่นี่มี 2 ราย ไม่มีปัญหาเรื่องการขุด ผู้รับเหมาที่นี่เป็นคนท้องถิ่น ช่วยกันมากกว่าจะคำนึงถึงรายได้..”
เมื่อทีมงานถามถึงการยกเลิกของประชาชน “ดรุณี” บอกว่า เราในฐานะหน่วยงานรัฐ เมื่อประชาชนขอยกเลิก เราก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้ แต่เราต้องให้เขาเขียนคำแจ้งความประสงค์ยกเลิกแปลง เพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา ส่วนหน้าที่เราคือ ต้องหาแปลงใหม่เข้ามาสวมแทน บางคนยกเลิก เพราะบางแปลงมีต้นไม้เยอะ ทุเรียนราคาดีก็อาจเสียดาย ไม่อยากโค่น จึงขอยกเลิก

“เรื่องโคกหนองนา กรมพัฒนาชุมชนทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงกันมาก็เยอะแล้วหลายปีแล้วแต่มันไม่ค่อยเป็นรูปธรรม ปัญหาการทำงานทุกงานย่อมมีปัญหาแต่เราต้องตั้งสติว่าเราต้องแก้ปัญหายังไง บางทีงานของพช. มันมีภาคี เราทำงานเราช่วยเหลือคนไว้เยอะแล้วทีนี้เขาเห็นเราตั้งใจเขาก็มาช่วยเรา อำเภอโป่งน้ำร้อนเรามีภาคี และเขามาช่วยตรงนี้ได้เยอะ
อย่าง นพต.(นักพื้นที่ต้นแบบ) ของเรามี 10 คน ก็ช่วยงานเราได้เยอะ เราไม่จ้างเขามาอยู่ฟรี ๆสะบาย ๆ แต่ให้เขามาช่วยโคกหนองนา แล้วน้อง ๆได้ใจเจ้าของแปลงทุกแปลง เพราะน้อง ๆ ลุยเต็มที่ ฝนตกแดดออกเขาก็ทน บางคนลงไปดูแปลงโดนหินบาดแก้วบาดเขาก็ยังอดทน..
และเรื่องสุดท้าย หากเป็นไปได้อยากให้ทางผู้บริหารกรมจัดสรรเรื่องป้ายแต่ละแปลงให้เจ้าของแปลงโคกหนองนาด้วย เพราะตรงนี้มันคือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับกรมของเรา ”
ที่อำเภอสอยดาวทีมงานได้คุยกับ “แซม” อภิวัฒน์ พรหมรินทร์ ผู้เข้าร่วมสมัครโครงการโคกหนองนาบนเนื้อที่ 3 ไร่ ซึ่งพื้นที่แบ่งเป็นสัดส่วนดูสวยงาม มีสระน้ำ 2 สระที่มีปลาหลากหลายชนิดมีนาข้าว และปลูกพืชผักแบบผสมผสานไว้หลายชนิดล้วนเป็นพืชผักสวนครัว ในขณะที่มีต้นไม้เศรษฐกิจแซมอยู่ข้าง ๆ หลายต้น

“ แซม” บอกว่า เดิมทำงานประจำ หลังจากออกมาก็ทำเกษตร ปลูกยางพารา ลำไย บนพื้นที่ 17 ไร่ ใช้เคมีตลอด ใช้ทุนเยอะ ได้ไม่คุ้มเสีย ตอนหลังไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ก็ปรับลดสารเคมีลง อย่างยางพารานี่ ใส่ปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง สารเคมีล้วน ๆ ตอนหลังปรับลด ตอนนี้เป็นแบบผสมผสาน ซึ่งอนาคตลดลงแน่นอน สวนลำไย ต้องมีบ้างพวกสารเร่งดอก แต่อนาคตคิดว่าจะโค่นทิ้งแล้ว เพิ่มเป็นปลูกผักผสมผสานคุ้มกว่าเยอะ
แซมและภรรยาพาเราเดินดูรอบ ๆ บริเวณบ้านซึ่งเลี้ยงเป็ดเอาไว้ รวมทั้งมีการเลี้ยงจิ้งหรีดและไส้เดือนไว้เป็นรายได้เสริม
“อย่างจิ้งหรีดนี้ ตอนนี้ขายอยู่กิโลกรัมละ 100 บาท หากฟักตัวแล้ว 40-45 วันก็นำออกขายได้ ส่วนไส้เดือนขายมูลเขาประมาณ 30-35 บาท ตรงนี้รายได้เดือนหนึ่งรวมทั้งผักที่ปลอดสารพิษด้วยก็ตกประมาณ 15,000 -20,000 บาท ไม่นับรายได้จากสวนยาพาราที่กรีดเองกับภรรยามีประมาณ 800 ต้นและผลลำไย
เรื่องโคกหนองนานี้ในมุมมองของผม ผมว่ามันตอบโจทย์มากเลยครับ ก็คือมันตอบโจทย์ได้ทุกอย่างในนี้ที่ว่าอนาคตมันพึ่งพากันได้หมดแน่ ถ้าจะให้ผมอยู่ก็คือ ผมว่าผมอยู่ได้ก็พึ่งพาอาศัยข้างนอกน้อยที่สุด ก็คือเรามีข้าว มีปลา ไข่เป็ดเราก็มี แล้วอาหารเป็ดเราก็มี เรื่องปุ๋ยเรา ผสมกับอาหารที่เราซื้อมาครึ่งต่อครึ่งเพื่อลดต้นทุน ต่อไปถ้าเราลดเรื่องอาหารที่เราซื้อมาเนี่ย ผมว่าเรามีข้าวแล้ว ถ้าเราสีข้าวเองก็จะมีรำมาผสม เราก็สามารถลดต้นทุนได้เยอะเลย 80-90 % แล้ว ซึ่งอนาคตวาดฝันไว้ว่าจะทำเป็นศูนย์เรียนรู้ให้คนในชุมชนแถวนี้มาศึกษา แต่ตอนนี้เราต้องทำให้เขาเห็นว่า การปลูกผักปลอดสารพิษทำอย่างไร น้ำในสระไม่ให้มีสารพิษเจือปนต้องจัดการอย่างไร..”
ในขณะที่ “นักพัฒนาชุมชน” อย่าง น.ส.สุภัค พันธุ์เสนาะ ซึ่งเริ่มเข้ามาเป็นครอบครัวของกรมการพัฒนาชุมชน จากการเป็น นพต. หรือนักพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ หลังจากกรมการพัฒนาชุมชนเปิดสอบจึงสอบเป็นนักพัฒนาชุมชน ซึ่งได้ทำหน้าที่มาดูแลแปลงโคกหนองนาในอำเภอสอยดาวซึ่งมีทั้งหมด 51 แปลง ทั้งขนาด 3 ไร่และ 1 ไร่

Leave a Reply