“พระมหานรินทร์ ซัด!! พระต้น ข้อความ “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” รับไม่ได้??

วันที่ 6 ตุลาคม 2567 พระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ. 9 อดีตแอดมินเพจ alittlebuddha เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้บรรยาpถึงรายละเอียดหนังสือชุด “ธรรมนาวาวัง” นั้น มีจำนวน 4 เล่ม คือ  1. หลักการชาวพุทธ  2. อริยสัจภาวนา  3. หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ 4. แนวทางปฏิบัติธรรมนาวาวัง

โดยในคำนำในหลักการชาวพุทธนั้น ก็จะน้อมนำเอา “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” มาอ้างอิง ว่าทรงมีพระราชศรัทธาในพระอาจารย์ทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ จนถึงทรงน้อมนำเอาแนวทางคำสอนของพระอาจารย์ทวีวัฒน์มาปฏิบัติตาม (แต่ไม่ระบุว่าทรงได้รับผลของการปฏิบัติว่าเป็นเช่นใด) คำนำได้ข้ามไปว่า “จึงทรงเล็งเห็นความสำคัญในการพระราชทานเผยแพร่หนังสืออันทรงคุณค่า ให้พุทธศาสนิกชน ตลอดจนประชาชนพลเมืองทุกหมู่เหล่า ได้ศึกษาหลักการปฏิบัติ อันได้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เพื่อเข้าถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ฯลฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์หนังสือ “หลักการชาวพุทธ” อันทรงคุณค่านี้ พระราชทานเป็นธรรมทาน โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุข อันพึงจะได้รับจากพระพุทธศาสนา ผ่านหลักการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ตรงตามพุทธบัญญัติ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา มาตาปิตุบูชา อาจริยบูชา และถวายเป็นพระราชกุศล แด่บูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุก ๆ พระองค์”  พระที่นั่งอัมพรสถาน 4 พฤษภาคม 2567

จากนั้นจึงเป็นสารบัญ คือชื่อเรื่องต่างๆ ที่มีในหนังสือเล่มนี้ ที่สะดุดตาของพระมหานรินทร์ก็คือ หัวข้อ “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” ในหน้า 114 ซึ่งอ่านดูแล้วก็น่าทึ่งใจ ว่าหนังสือเล่มนี้ผ่านการรับรองจากสำนักพระราชวังได้อย่างไร เราไปศึกษา “หลักการชาวพุทธยุคใหม่” ในธรรมนาวาวัง ว่าด้วยการรับศีลกัน ดังต่อไปนี้

ในเรื่อง “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” นั้น ธรรมนาวาวัง ได้เล่าว่า

“สมัยหนึ่ง มีอุบาสกรู้แจ่มแจ้งคำสอนของพระศาสดา ได้ยินพราหมณีสองแม่ลูกคุยกัน จึงเดินเข้าไปหา
ธิดาของนางพราหมณี กล่าวกับอุบาสกผู้นั้นว่า ท่านอุบาสก เดี๋ยวนี้ กุลบุตรจำนวนมาก สละทรัพย์สินแล้วพากันออกบวชในสำนักของพระศากยเจ้า กุลบุตรเหล่านั้นเห็นประโยชน์อะไรหนอ จึงพากันออกบวช
อุบาสก ฟังคำนั้นแล้วกล่าวว่า “เพราะเห็นโทษในกามทั้งหลาย เห็นอานิสงส์ในการออกบวช” แล้วจงอธิบายขยายความตามกำลังความรู้ของตน พรรณนาคุณของพระรัตนตรัย และอานิสงส์ของการรักษาศีล 5 ทั้งปัจจุบันและอนาคต   ธิดาของพราหมณี จึงถามอุบาสกนั้นว่า หากเราสามารถตั้งอยู่ในสรณคมน์ และรักษาศีล จะได้รับอานิสงส์ตามที่ท่านกล่าวได้จริงหรือไม่
อุบาสกนั้นกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ได้เล่า เพราะธรรมเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้แก่คนทั่วไป” แล้วได้บอกสรณคมน์และศีล 5 แก่ธิดาของพราหมณี  ก็จบเรื่องแต่เพียงเท่านี้

มีฟุตโน๊ตไว้ด้วยว่า อ้างอิงจากขุททกนิกาย วิมานวัตถุ : เรื่องเปสการิยวิมาน
ผู้เขียน (พระมหานรินทร์ นรินฺโท) จึงได้ตามไปศึกษา “เปสการิยวิมาน” ในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ก็พบว่า พระสูตรดังกล่าวมีเนื้อเรื่องดังนี้

เปสการิยวิมานว่าด้วยวิมานที่เกิดขึ้นแก่ธิดาช่างหูก(ท้าวสักกะตรัสถามเทพธิดาว่า)วิมานนี้น่ารื่นรมย์ เสาทำด้วยแก้วไพฑูรย์เปล่งแสงเรืองรองอยู่เป็นนิตย์จัดไว้เป็นสัดส่วนอย่างดี มีต้นไม้ทองขึ้นรอบด้านเป็นสถานที่เกิดมีเพราะผลกรรมของเราเทพอัปสรซึ่งมีอยู่ก่อนตั้งแสนเหล่านี้ เกิดในวิมานนั้นด้วยกรรมของตนเธอก็เกิดเองด้วยกรรมของตน มีบริวารยศเปล่งรัศมีข่มเหล่าเทพอัปสรผู้เกิดก่อนอยู่เธอผู้ทรงบริวารยศ เปล่งรัศมีรุ่งเรืองข่มหมู่เทพอัปสรนี้อยู่ประหนึ่งพระจันทร์ ผู้เป็นราชาแห่งดาวนักษัตรส่องแสงสกาวข่มหมู่ดาวอยู่ฉะนั้นเทียว

แม่เทพธิดาผู้น่าชม มองแล้วไม่เบื่อเธอมาจากไหนหนอจึงอุบัติยังภพของเรานี้เราทั้งมวลมองดูเธอไม่รู้จักอิ่ม เหมือนทวยเทพชั้นไตรทศ รวมทั้งพระอินทร์มองดูพระพรหมไม่รู้จักอิ่ม
(เทพธิดาผู้อันท้าวสักกเทวราชตรัสถามอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะประกาศเนื้อความนั้นจึงกล่าวตอบเป็น 2 คาถาว่า) ข้าแต่ท้าวสักกะ ข้อที่พระองค์รับสั่งถามหม่อมฉันว่า เธอจุติจากภพไหนจึงได้มาเกิดที่ภพของเรานี้ หม่อมฉันขอเฉลยว่า เมื่อชาติก่อนหม่อมฉันเกิดเป็นธิดาของช่างหูก อยู่ในกรุงพาราณสีซึ่งเป็นราชธานีแคว้นกาสีหม่อมฉันมีใจเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เชื่อมั่นไม่หวั่นไหว หมดความสงสัย ได้รักษาสิกขาบท (ศีล) มิให้ขาด บรรลุอริยผลมีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า ไม่มีทุกข์  (เมื่อจะทรงชื่นชมบุญสมบัติและทิพยสมบัติของเทพธิดานั้น ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสคาถาครึ่ง ความว่า)แม่เทพธิดา ผู้มีใจเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เชื่อมั่นไม่หวั่นไหว หมดความสงสัย รักษาสิกขาบทมิให้ขาด

บรรลุอริยผล มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้าไม่มีทุกข์ เราขอแสดงความชื่นชม ต่อบุญสมบัติและทิพยสมบัติ ของเธอนั้น และขอแสดงความยินดีต่อการมาดีของเธอเธอก็รุ่งเรืองด้วยธรรมและบริวารยศ

พระสูตรนี้ (เปสการิยวิมาน) ก็มีเนื้อหาเพียงเท่านี้ แต่ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่า พระสูตรนี้ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ โดยเริ่มที่องค์อมรินทร์ หรือพระอินทร์ ทรงมีคำถามต่อนางเปสการิยเทพธิดา ว่าทำบุญอะไรมา จึงได้มาเกิดในวิมานอันสวยงาม มีบริวารและยศสูงส่ง ข่มเทพอัปสรผู้เกิดก่อน
เปสการิยเทพธิดาจึงทูลตอบองค์อมรินทร์ว่า ที่เป็นเช่นนี้ เพราะดิฉัน (สมัยยังเป็นคนในมนุษย์โลก) ได้เกิดเป็นลูกสาวของนายช่างหูก และได้รักษาเบญจศีลมิให้ด่างพร้อย จึงมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และมีสมบัติบริวารมากเช่นนี้

องค์อมรินทร์ได้สดับดังนั้น ก็ทรงชื่นชมต่อผลบุญของนางเปสการิยเทพธิดา
โดยเนื้อหาของพระสูตรนี้มีเพียงเท่านี้ คือเป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเป็นบทสนทนาระหว่างท้าวสักกะ (พระอินทร์) กับนางเปสการิยเทพธิดา ซึ่งในอรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ว่าด้วยเรื่องเปสการิยวิมาน ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ขณะประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ชาวกรุงพาราณสี. วันหนึ่ง เวลาเช้า พระภิกษุจำนวนมาก ได้เข้าไปบิณฑบาตในกรุงพาราณสี ท่านเดินผ่านบ้านของนายช่างหูก ซึ่งขณะนั้น ธิดา (ลูกสาว) ของนายช่างหูก กำลังไซ้เหาให้แก่มารดา และได้เหลือบเห็นพระภิกษุเหล่านั้นเดินบิณฑบาตผ่านไป จึงได้พูดกับมารดาว่า “พระเหล่านี้กำลังหนุ่มแน่น มีรูปร่างหล่อเหล่า ผิวเนียนละเอียด ดูท่าว่าจะสูญเสียของรักบางอย่าง (เกิดความเสียใจอย่างแรง) จึงได้พากันมาบวช (ทำนองบวชชีเพราะหนีช้ำ)
มารดาก็เล่าให้ลูกสาวฟังว่า ลูกเอ๋ย มีพระโอรสของเจ้าศากยะ ได้เสด็จออกบรรพชา จนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุเหล่านี้ ได้สดับรับฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เกิดความเลื่อมใส จึงพากันออกบวช

ในขณะนั้น มีอุบาสกคนหนึ่ง เดินผ่านหน้าบ้านของเปสการพราหมณ์มาเช่นกัน ได้ฟังสองแม่ลูกพูดคุยกันเช่นนั้น จึงเข้าไปทักทายมารดาและลูกสาวทั้งคู่ แต่เปสการิยพราหมณ์ผู้เป็นบิดา ได้เข้าไปสนทนากับอุบาสกคนนั้นแทน โดยถามว่า ท่านอุบาสก เดี๋ยวนี้ กุลบุตร (เด็กหนุ่ม) จำนวนมาก พากันสละทรัพย์สินและเครือญาติ ไปออกบวชในศาสนาของพระศากยโคดม พวกเขาเห็นประโยชน์อะไรจึงทำไปเช่นนั้น
อุบาสกท่านนั้นก็ตอบแก่พราหมณ์ว่า กุลบุตรเหล่านั้น เห็นโทษในกามทั้งหลาย เห็นอานิสงส์ในการออกบวช จึงชวนกันออกบวชดังที่เห็น

ต่อจากนี้ อุบาสกท่านนั้น ได้พรรณนาความหมายของการออกบวช ตามภูมิความรู้ที่ตนเองมี พรรณนาถึงคุณของพระรัตนตรัย และอานิสงส์ของการรักษาเบญจศีล ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
เปสการิยธิดา ผู้เป็นลูกสาวของนายช่างหูก ได้ยินอุบาสกพูดคุยกับบิดาเช่นนั้น จึงได้ถามว่า “แลตัวข้าพเจ้า (ซึ่งเป็นสตรี) จะสามารถถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่ง แลรักษาเบญจศีล ได้หรือไม่
อุบาสก็ตอบว่า “ได้ซี” จากนั้นจึงได้บอกสรณะและศีล ให้แก่นางเปสการิยธิดาๆ ครั้นได้รับศีลแล้ว จึงถามอุบาสกถึงแนวทางการปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้นไป จึงได้รับฟังพระกรรมฐานว่าด้วยอาการ 32 (ทฺวตฺตึสาการ) จากอุบาสก นำมาปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุโสดาปัตติผล จนสิ้นชีวิตจึงได้ไปเกิดเป็นนางเปสการิยเทพธิดา ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานอันสวยงาม มีสมบัติมหาศาล เกินกว่านางอัปสรอื่นๆ ที่เคยบังเกิดในชั้นดาวดึงส์ จึงถูกพระอินทร์ถามถึงสาเหตุแห่งการได้มาบังเกิดในวิมานดังกล่าว เล่าตามพระสูตรและอรรถกถา ก็จะออกมาเป็นเรื่องราวโดยสมบูรณ์แบบนี้

แต่ในหนังสือ “ธรรมนาวาวัง” กลับตัดลัดเหลือเพียงนิดเดียว โดยไม่ได้เท้าความให้เห็นถึงบริบทในทางสังคมของเปสการิยธิดา ก่อนจะได้รับศีลและไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งในอรรถกถามีเนื้อหาอันสมบูรณ์ในหลายประเด็น ดังนี้

1. เรื่องราวของนางเปสการิยธิดานั้น เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล หมายถึงว่า เวลานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงมีพระชนม์อยู่ และเสด็จไปประทับ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ชานกรุงพาราณสี ซึ่งพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ก็เข้าไปบิณฑบาตในกรุงพาราณสี จึงได้เดินผ่านบ้านของนายช่างหูกไป ในขณะที่ธิดาของนายช่างหูกกำลังไซ้เหาให้แก่มารดาอยู่ในบ้าน

2. การปรากฏตัวของ “อุบาสก” ซึ่งมีความรู้เรื่องเบญจศีลและธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เข้าไปพูดคุยสนทนา จนกระทั่งเปสการธิดาเกิดความสนใจ จึงได้ถาม และได้รับศีลและธรรมจากอุบาสกคนดังกล่าว

3. จากการที่ธิดาของนายช่างหูก ได้รับศีลและธรรมปฏิบัติจากอุบาสกคนดังกล่าวไปปฏิบัติ จนกระทั่งได้บรรลุโสดาปัตติผล และส่งผลให้ได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นปาทปริจาริกา (สนม) ของพระอินทร์ ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการรับศีลจากอุบาสกมารักษา และปฏิบัติธรรมว่าด้วยการพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายความรัก ซึ่งนับว่าเป็นตัวอย่างในทางพระศาสนาที่น่าสรรเสริญ
แต่..แต่ในความเป็นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่า “เวลานั้น พระบรมศาสดา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่” จึงสงสัยว่า เหตุใด เปสการิยธิดา จึงไม่ได้ไปพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อรับศีลและฟังธรรม แต่กลับได้รับจากอุบาสกท่านนั้นแทน

ในสังคมอินเดียยุคพุทธกาลนั้น สตรีสาวอาจจะไม่ได้มีอิสระในการไปไหนมาไหนตามลำพัง ยิ่งการจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงนอกเมือง คือป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จึงเป็นเรื่องใหญ่ นี่จึงเป็นเหตุให้นางได้รับศีลจากอุบาสกแทน เพราะว่ามาหาถึงบ้าน ในขณะที่บิดามารดาก็ยังอยู่พร้อมหน้า
แต่..แต่ถ้าหากว่านางเปสการิยธิดานั้น จะได้มีโอกาสไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สดับพระสัทธรรม รับสรณะและศีล จากพระพุทธองค์โดยตรง ก็จะเป็นบุญแก่นางมาก และอาจจะได้บรรลุธรรมสูงกว่าพระโสดาปัตติผลด้วย

ความหมายจึงมีเพียงว่า นางเปสการิยธิดา มีโอกาสสำคัญ คือการไปหาพระพุทธเจ้า แต่โอกาสไม่อำนวย จึงได้ขอรับศีลจากอุบาสกแทน เพราะแน่นอนว่า ระหว่างอุบาสกกับพระพุทธเจ้า ใครๆ ก็ย่อมปรารถนาจะไปพบพระพุทธเจ้า

แต่ในหนังสือธรรมนาวาวัง ของพระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ กลับนำเรื่องราวดังกล่าวมาบิดเบือน โดยสร้างวาทกรรมใหม่ว่า “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” โดยยกเอาเรื่องนางเปสการิยเทพธิดามาเป็นตัวอย่าง
ซึ่งถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้ว พระทวีวัฒน์ก็ยังอ้างไม่ถูก เพราะตัวเลือกของนางเปสการธิดามีเพียง 2 ดังกล่าว คือไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ากับรับศีลจากอุบาสก สำหรับภิกษุนั้นถือว่าเป็นเพียงสาวก ย่อมไม่สำคัญเท่ากับพระศาสดา

ถ้าพระทวีวัฒน์จะสร้างวาทกรรมขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ก็ยังถือว่าตรงตามข้อเท็จจริง แต่การที่พระทวีวัฒน์สร้างวาทกรรมว่า “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” จึงเกิดคำถามว่า ทำไมจึงมาเจาะจงที่พระ ทั้งๆ ที่พระภิกษุไม่ได้มีบทบาทสำคัญในเรื่องเปสการิยธิดานั้นเลย
ตรงนี้จึงเห็นลีขาของพระต้นใน 2 จังหวะ อันได้แก่

1. เล่าเรื่องไม่สมบูรณ์ ตัดลัดเนื้อหาไปมากมาย เหมือนกับตัดพระดำรัสสมเด็จพระสังฆราช แล้วพูดเฉพาะที่ดูดีกับตัวเอง เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ทำนองฤษีแปลงสาร นี่จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจว่า พระไตรปิฎก อรรถกถา ก็มีอยู่พร้อม แต่ทำไมพระต้นจึงไม่นำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วน ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพูดตามทุกตัวอักษร แต่เนื้อหาควรต้องครบถ้วน อย่างน้อยเหตุผลที่ไปที่มาต้องชัดเจน จึงจะถือว่าเหมะสมสำหรับผู้แสดงธรรม

2. การสร้างวาทกรรม “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” ซึ่งเนื้อหาจริงๆ ก็ดังที่กล่าว คือ ความสำคัญในเรื่องเปสการธิดานั้น คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเวลานั้นก็ทรงประทับอยู่ที่เมืองพาราณสี แต่ธิดาของนายช่างหูกคงไม่สะดวกจะเดินทาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้แต่เพียงรับศีลและฟังธรรมจากอุบาสกแทน
เมื่อภาพที่ออกมาเช่นนั้น ถ้าหากมองในข้อเท็จจริง ก็ย่อมจะมีเหตุผลว่า “ลำพังนางเปสการธิดา รับศีลและฟังธรรมจากอุบาสก ยังสามารถบรรลุผลเป็นพระโสดาบันด์ และไปเกิดบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าหากว่านางมีโอกาสได้เข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้รับสรณะและศีล และสดับพระสัทธรรมจากพระพุทธองค์แล้ว ก็ควรจะได้รับอานิสงส์มากกว่านี้”

นักแสดงธรรมที่ดีควรคิดในมุมมองเช่นนี้ ควรยกเหตุผลเข้ามาสนับสนุนเช่นนี้ มิใช่การสร้างวาทกรรมขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” ทั้งๆ ที่พระก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นแต่อย่างใด เป็นแต่เพียงถูกนางเปสการธิดายกขึ้นมาเป็นเหตุแห่งคำถามเท่านั้น

วาทกรรมของพระทวีวัฒน์ ว่าด้วย “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” จึงน่าสงสัยว่า ท่านคิดขึ้นจากสมมุติฐานใด และหวังผลสิ่งใด มองดูแล้วท่านคงไม่หวังผลย้อนกลับไปในสมัยพุทธกาล แต่คงจะหวังผลในปัจจุบัน จึงเมื่อเห็นว่า นางเปสการธิดาไม่ได้ไปรับศีลจากพระพุทธเจ้า ก็ได้รับอานิสงส์จากการรับจากอุบาสก ก็จึงนำเอา “พระสงฆ์” เข้ามาแทนพระบรมศาสดา โดยสร้างวาทกรรมขึ้นมาว่า “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ”

ทั้งๆ ที่ว่า ถ้ามองกันตามหลักการของนักแสดงธรรมแล้ว ก็ควรแสดงไปในทางที่ว่า นี่ขนาดเปสการธิดารับศีลจากอุบาสก ยังได้รับอานิสงส์ยิ่งใหญ่เพียงนี้ ถ้าหากว่านางมีโอกาสได้รับจากพระภิกษุก็คงจะได้รับอานิสงส์มากขึ้นอีก ยิ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วย ก็ยิ่งจะเป็นโชคใหญ่ในชีวิต เพราะเกิดมาพบพระพุทธเจ้านั้น ถือว่าเป็นโชคดีที่สุดแล้ว สำหรับพุทธศาสนิกชน

คนที่มีสติปัญญาเขาจะมองเนื้อหาสำหรับเปสการธิดาเป็นอย่างนี้ แต่คนที่คิดวิปริตเช่นพระต้น (ทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ) กลับคิดสวนทาง กลับมองว่า นางเปสการธิดา ไม่เห็นจำเป็นต้องไปหาพระหาเจ้า (หรือแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า) แค่รับศีลจากอุบาสกก็สามารถปฏิบัติและบรรลุธรรมได้แล้ว พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกจึงไม่จำเป็น ทั้งๆ ทั้ง อุบาสกท่านนั้นก็ไปรับศีลและฟังธรรมมาจากพระพุทธเจ้า หาไม่ก็คงไม่สามารถนำมาบอกสอนแก่เปสการธิดาได้หรอก

ด้วยความคิดวิปริตเช่นนี้เอง พระทวีวัฒน์ (ต้น) จารุวณฺโณ จึงได้ตัดลัดเนื้อหาของพระไตรปิฎกรวมทั้งอรรถกถา นำมาเล่าเพียงนิดหน่อย แล้วก็สร้างวาทกรรมสำทับลงไปว่า “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ”
ถ้าไม่รับศีลจากพระแล้วจะรับกับใคร ?

วันนี้ พระทวีวัฒน์และโครงการธรรมนาวาวัง ได้ประกาศแนวทางการสอนแบบใหม่ “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” ก็หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องไปวัด เพราะพระอยู่ในวัด ทีนี้เมื่อไม่ไปวัด ก็ไม่ต้องไปรับศีลจากพระ และไม่ต้องฟังธรรมจากพระ เพราะพระจะให้ศีลก่อนฟังธรรมเสมอ

แม้ไม่อยากจะมองในแง่ลบต่อโครงการธรรมนาวาวังและต่อพระทวีวัฒน์ก็ตาม แต่เมื่อได้อ่านเรื่อง “ไม่จำเป็นต้องรับศีลจากพระ” ในหนังสือหลักการชาวพุทธ ของธรรมนาวาวังแล้ว มันก็อดคิดไม่ได้ ว่าพระทวีวัฒน์มีจุดมุ่งหมายสิ่งใด จึงทำการบิดเบือนเนื้อหาในพระไตรปิฎก และสร้างวาทกรรมทำลายพระพุทธศาสนาขึ้นมา

ถามอีกครั้งว่า ถ้าไม่รับศีลจากพระ แล้วจะให้รับกับใคร ในเมื่อทุกวันนี้ พระบรมศาสดาก็ปรินิพพานไปแล้ว พระสงฆ์สาวกคือพระภิกษุสามเณร ยังคงสืบทอดพระธรรมคำสอน โดยการ “ให้ศีล สอนธรรม” แก่พุทธศาสนิกชน หากไม่ให้ไปรับศีลจากพระ ก็ตัดโอกาสทั้งศีลและธรรม ไม่ให้พระสื่อสารกับญาติโยม แล้วแบบนี้นะหรือ คือ ธรรมนาวาวัง

คำถามสุดท้าย แน่ใจหรือว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้อ่านเนื้อหาในหนังสือชุด ธรรมนาวาวัง ทั้งหมดแล้ว จึงทรงโปรดให้พิมพ์เผยแพร่แก่พระภิกษุสามเณรและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศไทย
หาไม่ ผู้ที่แอบอ้างนำเอาพระราชศรัทธามาสนับสนุนลัทธิของตนเองนั้น จะต้องรับผิดชอบเช่นไร ?
ขอประทานโทษเถิด อ่านแล้วรับไม่ได้จริงๆ

Leave a Reply