วันที่ 10 กรกฏาคม 2568 วานนี้เวลา 15.00 น. นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมคณะประกอบด้วย ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จันเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เดินทางเข้าสักการะสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในโอกาสรับตำแหน่งใหม่ ณ พระตำหนักสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พร้อมกันนี้ได้กราบนมัสการ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เพื่อขอข้อแนะนำเกี่ยวกับการขับเคลื่อนกิจการงานพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์

มีรายงานว่า สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้ฝากนโยาย 4 ข้อ ขอให้ นายสุชาติ ตันเจริญ ช่วยดำเนินการ คือ 1. การดูแลรักษาศาสนสมบัติของวัด ควรมีมาตรการที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากแนวคิดการจัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจประสบข้อจำกัดทางกฎหมายแล้ว อาจพิจารณาเชิญธนาคารของรัฐบางแห่งเข้ามาร่วมดำเนินงาน หรือจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อรองรับภารกิจดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องจัดตั้งธนาคารใหม่ เนื่องจากการตั้งธนาคารพุทธเป็นแนวคิดที่อยากทำกันมานานแต่อาจจะมีปัญหาด้านข้อพระวินัยและกว่าจะผ่านสภาต้องใช้เวลานานและอาจมีปัญหาอุปสรรค 2. การคุ้มครองพระภิกษุผู้ประพฤติดี และการจัดการกับผู้ประพฤติมิชอบ ปัจจุบันยังคงมีช่องว่างทางกฎหมาย และข้อจำกัดด้านอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งทำให้การดำเนินการในบางกรณียังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้รัฐมนตรีและคณะไปศึกษาข้อกฎหมายว่าทำอย่างไรจึงจะดำเนินการเสริมสภาพคล่องการทำงานให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้บ้าง 3. กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา จำเป็นต้องมีการทบทวนให้ครอบคลุมกรณีที่เกิดปัญหา เช่น การที่สตรีบางรายเข้ามาสร้างปัญหา หรือพระภิกษุบางรูปที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมแต่ปกปิดข้อมูลไว้ ควรมีการพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบและข้อกฎหมายบางประการ ในบางกรณีอาจจะควรรับผิดทางอาญาด้วยหรือไม่ และ ประการที่ 4.การปรับโครงสร้างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่แล้ว ควรเร่งให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อรองรับพันธกิจเร่งด่วนและมีบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมพัฒนาองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ

ด้าน ดร.นิยม เวชกามา กล่าวว่าในขณะนี้วงการสงฆ์ของไทยกำลังสั่นสะเทือนเพราะมีพระมหาเถระระดับผู้บริหารคณะสงฆ์ถึง 8 รูป ต้องข้อกล่าวหามีความผิดวินัยอย่างร้ายแรงคืออาบัติปาราชิก กรณีไปมีความเกี่ยวข้องกับผู้หญิงรายหนึ่งและพวก แฝงตัวเข้ามาหวังผลประโยชน์กับพระภิกษุสงฆ์ ศีลของพระภิกษุมี 227 ข้อแต่ข้อที่หนักที่สุดคือปาราชิก เสพเมถุนต้องปาราชิก ฆ่ามนุษย์ต้องปาราชิก ลักทรัพย์ต้องปาราชิก อวดอุตริมนุษธรรมที่ไม่มีในตนต้องปาราชิก พระภิกษุจะบวชวันเดียวหรือบวช 100 ปีเป็นถึงมหาเถรานุเถระก็ต้องถือศีล 227 เหมือนกันโดยเฉพาะถ้าขาดศีลข้อปาราชิก 4 นี้แล้วต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุทันทีนับแต่ต้องอาบัติ ปาราชิก ถึงแม้ท่านจะอยู่ในผ้าเหลืองก็ไม่ใช่พระภิกษุ


Leave a Reply