ออกตัวก่อนว่าผู้เขียน ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือไปมีผลประโยชน์อะไรกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เพียงแต่..เพื่อปกป้องและรักษาเจตนารมณ์องค์กร รวมทั้งปณิธานของบรรพชนที่เสียสละตากฝนทนหนาว ตอนที่ผู้เขียนเข้ามีส่วนร่วมไปเรียกร้องให้เกิด..สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เท่านั้น
“ผู้เขียน” จำได้ว่าตอนที่ คณะสงฆ์และชาวพุทธกลุ่มใหญ่ไปชุมนุมกันหน้าอาคารรัฐสภา เรียกร้องให้เกิดกระทรวงพระพุทธศาสนา แกนนำมีแต่ “ตัวตึง” ทั้งนั้น

“ผู้เขียน” ตอนนั้นไปเพราะเห็น “น้ำตา” เสียงสะอื้น ของ “พระศรีปริยัติโมลี” หรือ พระมหาสมชัย กุสลจิตฺโต อาจารย์ มจร จึงชวนพระเณรและญาติโยมไปเรียกร้องกระทรวงพระพุทธศาสนากับกลุ่มท่านเหล่านี้ด้วย กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องกระทรวงพระพุทธศาสนา แต่ได้มาเป็น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
กำขี้..ดีกว่ากำตด
ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คนแรกคือ นายสุทธิวงศ์ ตันตยาพิศาลสุทธิ์ คนที่สอง พล.ต.ท. อุดม เจริญ ซึ่งทำงานเข้ากับคณะสงฆ์และขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนา..ค่อนข้างดีเนื่องจาก ลึก ๆ บุคคลเหล่านี้ ผ่านความเห็นชอบจากคณะสงฆ์ทั้งในระดับ มส. และ พระนักเคลื่อนไหว ที่ออกไปเรียกร้องคราวนั้น

ระยะหลังมานี้ “ผอ.พศ.” หลายคนมาจาก “คนนอก” ไม่เคยทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ ไม่เข้าใจ “วัฒนธรรมสงฆ์” หรือ “จารีตประเพณี” องค์กร รวมทั้งไม่เข้าใจ “ความเป็นมา” ของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ
คิดเองว่า..สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็น “องค์กรรัฐ” คงไม่ยากที่จะเรียนรู้และขับเคลื่อน
สุดท้าย..จึงเป็นอย่างที่เราเห็น คือ งานไม่เดิน จะขยับอะไรก็กลัวไปหมด
“ผู้เขียน” ฟัง “คำบอกเล่า” จริงไม่จริงไม่ทราบ เพราะเป็นเพียงคำบอกเล่าว่า
ยุคนี้เป็น “ยุควังเวง” ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เป็นยุคข้าราชการชั้นผู้น้อย “เกียร์ว่าง”

“ผู้เขียน” คิดไปคิดมาสาเหตุ “เกียร์ว่าง” เกิดจากอะไร ใช่ “ผอ.พศ.” เป็นคนนอก ที่กำลังเรียนรู้งานคณะสงฆ์หรือไม่ หรือก่อนหน้านี้ก็มีการดึง “คนนอก” เข้ามา ตอนนั้นมีข่าวแว่วว่า..เส้นใหญ่
ล่าสุดมาอีกแล้ว ตำแหน่งที่ปรึกษาด้านวิจัยและพัฒนาวิชาการพระพุทธศาสนา ประเภทนักวิชาการศาสนา ระดับทรงคุณวุฒิ กินเงินเดือน 6 -7 หมื่นบาท ที่คนใน “พศ.” บอกว่า “ตัวเต็ง” มาครองตำแหน่งนี้ เป็นอดีตคณบดีนิติศาสตร์ จุฬา ฯ จริงหรือไม่!! อีกไม่กี่วันรู้??
“ผู้เขียน” ตอนประกาศรับสมัครก็คิดอยู่ว่า..ทำไม “ปิดกั้น” คนในสำนักพุทธ ฯ รับแต่..คนนอก หรือเป็น “เป็นจริง” ดังข่าวซุบซิบนินทา

“ผู้เขียน” ได้แต่คิดในใจเอาอีกแล้ว หากเป็นจริงดังข่าวลือ “อีแอบ” เอาคนของตัวเองมาอีกแล้ว
“ผู้เขียน” คิดว่าอันนี้แหละ คือสาเหตุสำคัญก่อให้เกิด “เกียร์ว่าง” ของข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เพราะ “เสียขวัญและกำลังใจ” ทำงาน “หมดอาลัยตายอยาก” แบบครึ่งหลับครึ่งตื่น
เพราะปิดตายความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ในการที่จะขึ้นเบอร์หนึ่ง “พุทธมณฑล”
“ผู้เขียน” จึงฝากถึง “อีแอบ” ทั้งพระภิกษุและคฤหัสถ์ว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มิใช่เป็นองค์กรที่ ให้ใครก็ได้..มากินตำแหน่ง มากินเงินเดือน และไม่มีใครว่าหากมาแล้วทำงานส่งเสริมกิจการทางพระพุทธศาสนาแบบมีความมั่นคงยั่งยืน หรือสนองกิจการคณะสงฆ์ 6 ด้านได้อย่างครบถ้วน และปลูกขวัญกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาได้ดี
แต่หากเอาคนไม่เข้าใจวัฒนธรรมองค์กร ไม่ลุยงานคณะสงฆ์ ไม่ขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนาให้เป็นรูปธรรมชัดเจน หรือ ทำงานร่วมกับคนในองค์กรได้ไม่ดีพอ
แบบนี้ “อีแอบ” จะรับผิดชอบอย่างไร!!
ที่ผ่านมา “ผู้เขียน” เห็นชัดเรื่องเดียวที่เป็นผลงานเด่นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คือ สู้กับกรมธนารักษ์ นำ “พุทธมณฑล” เป็น “ศาสนสมบัติกลาง” กลับมาได้ ส่วนผลงานปรับโครงสร้างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ ผอ.พศ. ขึ้นมาครองซี 11
“ผู้เขียน” มองว่าใน “ภาพรวม” เป็นองค์กรประเภท “หัวโต ตัวลีบ” ส่วนรวมยังไม่เห็นประโยชน์อันใด!
ผลงานนอกนั้น มีแต่ งานประชุม งานสวดมนต์ ไปแสดงมุทิตาวันเกิดพระเถระ และ ร่วมกิจกรรมคณะสงฆ์
หากย้อนเวลากลับได้..จะไม่ไปร่วมชุมนุมเรียกร้องให้เกิด..สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ
เพราะมีเสียครหาหนาหูเหลือเกินว่า..มีแต่พวกชุกมือเปิบ!!


Leave a Reply