วันที่ 27 ธ.ค.68 เวลา 16.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ “พระพิพัฒน์วชิราคม” อดีตเจ้าอาวาสวัดโนนสว่าง ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี โดยมี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่ และศิษยานุศิษย์จากทั่วประเทศ เข้าร่วมพิธีด้วยความอาลัยอย่างเนืองแน่นหลายพันคน
นอกจากนี้ ภายในงาน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้ประทานคำสั่งแต่งตั้ง พระครูปัญญาวราภิวัฒน์ เจ้าคณะตำบลหมากหญ้า(ธ) อำเภอหนองวัวซอ จ.อุดรธานี ให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดโนนสว่าง แด่เพื่อให้การดำเนินงานต่างๆภายในวัด ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างเรียบร้อย
ประวัติโดยย่อ พระพิพัฒน์วชิราคม นามเดิม เจริญ นามสกุล สารักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 7 เดือนมิ.ย. ปีพ.ศ. 2504 ที่บ้านหนองวัวซอ จ.อุดรธานี บิดาเดิมเป็นชาวอุบลราชธานี ชื่อนายสงวน สารักษ์ มารดาเป็นชาวบ้านเชียงหวาง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ชื่อนางฮวด สารักษ์ เชื้อสายทางบิดาเป็นชาวอุบลราชธานีโดยกำเนิด เกี่ยวพันเป็นลูกหลานเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และหลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม วัดสิริสาลวัน จ.หนองบัวลำภู มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 10 คน เป็นชาย 8 คน หญิง 2 คน เป็นคนที่ 6
บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบุญญานุสรณ์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี มีพระครูประสิทธิ์คณานุการ อดีตเจ้าคณะอำเภอหนองวัวซอ ธรรมยุต เป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะเป็นสามเณรได้สนใจศึกษาหัดอ่านเขียนคัมภีร์ใบลานอักษรธรรมอีสานกับพ่อใหญ่มั่นผู้เฒ่าที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งสามารถอ่านเขียนและจารอักษรธรรมอีสานได้ และท่านผู้นี้เป็นฆราวาสที่มีอาคมด้วย จึงได้เรียนอักษรธรรมและอาคมบ้างพอประมาณ ต่อมาจึงสามารถอ่านเขียนอักษรธรรมล้านนา และอักษรไทยน้อยได้จนแตกฉาน และสามารถจารหนังสือใบลานได้ตั้งแต่บรรพชาไม่ถึง 2 พรรษา

เรียนพุทธาคม ความที่ไม่เข้าใจว่าทำไมชาวบ้านจึงนับถือภูตผีปีศาจ จึงศึกษาถึงที่มาที่ไปจนผ่านไปหลายปี จึงทราบได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงให้เลิกนับถือสิ่งเหล่านั้นและให้ถือพระรัตนตรัยแทน จึงเริ่มสนใจในวิชาพุทธาคมและเริ่มศึกษาควบคู่ไปกับการศึกษาข้อความในคัมภีร์ ซึ่งต่อมาทำให้เป็นผู้มีความรอบรู้ในเรื่องพระคัมภีร์อย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระสูตร เรื่องราวในทางธรรมะต่างๆ ตำรายาแผนไทยโบราณ ตำราดวงชะตา ตำราลงอักขระปลุกเสกต่างๆ ซึ่งได้ศึกษาพอประมาณ ต่อมาจึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์สมพงษ์หรือพระธรรมสังวร วัดพระพุทธบาทบัวบก อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี เรียนวิชาลงตะกรุดโทนและวิชารักษาคนผู้ถูกมนตร์ทำs้าย เป็นต้น และอาศัยอยู่กับหลวงปู่โถน พระครูสถิตธรรมรัตน์ วัดโสกแจ อ.กุดจับ จ.อุดรธานี ได้เรียนวิชาลงตะกรุดหกกษัตริย์ และกบตๅยคารู และลงนะหน้าทอง และอีกหลายอย่าง เป็นสามเณรอุปัฏฐากอยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู เป็นต้น
เมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดป่าสามัคคีอุปถัมภ์ อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย โดยมีพระครูสิริธรรมวัฒน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวินัยกิตติโสภณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุนทรนวกิจ วัดอรุณรังษี เป็นพระอนุสวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “ฐานยุตฺโต” ในคณะธรรมยุต
เมื่ออุปสมบทแล้วได้ไปจำพรรษาอยู่กับพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่เมตตาหลวง) วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา หลวงปู่ให้เรียนเอาวิชาเมตตาหลวง ตำราเลขยันต์ คาถาลงตะกรุดโทน แคล้วคลาด ยันต์ตรีนิสิงเห และสอนให้บริกรรมธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ นะ มะ พะ ทะ หลายปีต่อมาขณะจำพรรษาอยู่วัดป่าพรรณานิคม ได้พบหลวงปู่สาม อกิญจโน วัดป่าไตรวิเวก จ.สุรินทร์
เมื่อหลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม วัดสิริสาลวัน จ.หนองบัวลำภู มรณภาพลง ได้มางานพระราชทานเพลิงศwท่าน และได้รับนิมนต์ให้อยู่ต่อ ต่อมาพระครูพุทธศาสโนวาท (ชาลี) เจ้าอาวาสวัดศรีสว่าง (ชื่อวัดในขณะนั้น) ถึงแก่มรณภาพลง จึงได้อยู่ช่วยงานศพจนแล้วเสร็จ ชาวบ้านจึงอาราธนาให้จำพรรษาที่วัดนั้น และขอให้ช่วยพัฒนาวัดด้วยเพราะเป็นวัดในอำเภอบ้านเกิด จนกระทั่งได้รับแต่งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ต่อมาเปลี่ยนชื่อวัดศรีสว่างเป็นวัดโนนสว่าง และจำพรรษาอยู่จนปัจจุบัน ตั้งแต่มาช่วยพัฒนาอารามแห่งนี้ก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ



Leave a Reply