ความรุนแรงสะท้อนอะไร?

ภาพบาตรทะลุเป็นรู  พระพุทธรูปขาวบริสุทธิ์ถูกเจาะด้วยกระสุนปริศนา กลายเป็นภาพที่สร้างความสะเทือนขวัญแก่ชาวพุทธในพื้นที่ ๕ จังหวัดภายใต้ และสะเทือนใจแก่ชาวพุทธทั้งในไทย รวมถึงคนทั่วโลกภาพนี้สะท้อนให้เห็นอะไรได้บ้าง

๑. สะท้อนวาทกรรมที่ว่า “เราต้องเข็มแข็ง อย่ายอมให้เหตุการณ์ความรุนแรงมาทำให้เราแตกแยกกัน เราต้องรวมกัน สามัคคีกันเพื่อไม่ให้พวกโจรมีชัยชนะ” เป็นวาทกรรมซ้ำซากที่ถูกยกมากล่าวเมื่อเกิดเหตุความรุนแรงแต่กลับไม่มีใครสนใจฟังอีกต่อไป ทั้งที่นัยยะจากข้อความมุ่งเน้นความสามัคคี ความรักที่มีต่อกันในยามสิ้นหวังหรือหวาดกลัวจากเหตุเภทภัยต่างๆโดยคนไทยขึ้นชื่อเรื่องการรวมตัวกันช่วยเหลือกันและกันด้วยดีเสมอ วาทกรรมนี้จึงไม่ต่างจากการปลุกจิตวิญญาณให้คนไทยหันมารวมกันอีกครั้งในยามยากลำบากเช่นนี้  แต่น่าแปลกว่าระยะหลังวาทกรรมนี้กลับกลายเป็นชนวนแห่งความแตกร้าวให้มากยิ่งขึ้นเมื่อถูกนำมาพูดในช่วงเวลาเช่นนี้เพราะกลายเป็นแค่ลมที่ออกจากปากกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่มีเนื้อหนังอะไรให้จับต้องได้เมื่อคำพูดไร้ผลอย่างสิ้นเชิง การสัญญิงสัญญาอะไรหรือการปลอบขวัญให้กำลังใจจึงไม่อาจเป็นไปได้ เหลือเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้วาทกรรมนี้หนักแน่นและน่าเชื่อถือขึ้นก็คือ “ต้องทำให้ได้แล้วค่อยพูด”

๒. สะท้อนให้เห็นการไม่ยอมรับความจริงมีคำพูดที่มักมาพร้อมกับคำเหน็บแนมว่า “คนไทยโลกสวย” สะท้อนการมองโลกแบบสวยงาม แม้จะเห็นความรุนแรงภาคใต้ก็จะมีคำออกจากปากคนระดับผู้บริหารประเทศเสมอมาว่า “เอาอยู่” แต่ความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเราลองลงพื้นที่ ไปอยู่กับเขา ไปกินกับเขา เรียนรู้การอยู่ในพื้นที่เสี่ยงแบบนั้นคนในพื้นที่อยู่กันอย่างไร ทุกคนล้วนกลัวตาย แต่เขาอยู่กับความกลัวตายตลอดเวลาบนความเชื่อแบบคนมองโลกแบบตรงไปตรงมาว่า “ที่นี่คือบ้านเกิด ไม่อยู่ที่นี่จะไปอยู่ที่ไหน ถึงกลัวก็ต้องอยู่”ถ้าเราอยู่แบบนี้ รู้จักความกลัวแบบนี้ แล้วกลับมาบอกกลับโลกภายนอกตามจริง จะบรรยายภาพนั้นสวยงามอย่างเดิมหรือไม่

คงเป็นเรื่องน่าคิดถ้าเราเพียงแค่เข้าใจความจริงจากเพียงรูปภาพหรือตัวหนังสือผ่านการนำเสนอโดยศิลปินสักคน แล้วเราตัดสินโดยไร้ความรู้สึกที่เข้าใจความจริง จากผู้คนจริง จากบรรยากาศจริง โลกนี้ก็คงสวยงามตามแค่จินตนาการของใครสักคนที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยสักนิด

๓. สะท้อนความอ่อนแอทางจิตใจเหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความอ่อนแอลงทุกวันของคนไทยทั้งในภาคใต้และภาคอื่นๆ รวมถึงคนทั่วโลกที่มองการปฏิบัติต่อผู้บริสุทธิ์อย่างไร้ความยุติธรรม และสิ่งที่มนุษย์เราทนไม่ได้คือ “ความไร้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม” เพราะไม่สนใจผู้อื่นใดนอกจากตัวเองหรือฝ่ายตัวเอง จึงเริ่มแสดงบางอย่างให้เห็นอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เช่น การยิงถล่มวัด ทั้งที่เราเคยเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็อยู่ร่วมกันได้ภายใต้ร่มธงไตรรงค์ แต่กลับกลายเป็นว่า ความรุนแรงได้เปลี่ยนให้จิตใจที่เคยดีงาม เข็มแข็งในความดีที่คนไทยเคยมียามเห็นใครมาเยี่ยมบ้านเราต้องต้อนรับ มีน้ำไว้คลายกระหาย  มีร่มเงาไว้คลายร้อน มีอาหารไว้คอยเลี้ยงต้อนรับขับสู้ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

ตอนนี้เราต่างเป็นคนแปลกหน้าระหว่างกันและกัน แม้คนใกล้เคียงกันก็หวาดระแวงกันเอง เรามาถึงจุดที่จิตใจอ่อนแอสุดขีด ระแวงกันเองแม้แต่น้ำก็ไม่แบ่งปันกันอีกต่อไป ทุกอย่างล้วนผ่านการต่อรอง การซื้อขาย การแลกเปลี่ยน ไม่เว้นแม้แต่มิตรภาพที่ซื้อหาได้ตลอดเวลาอย่างที่เห็นๆ กัน จิตใจถูกปล่อยปะละเลย นับวันมีแต่จะเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น ไม่สนใจใครมากขึ้น สุดท้าย โลกก็วุ่นวายและขาดการยับยั้งชั่งใจกลายเป็นความรุนแรงในที่สุด

ถ้านี่คือมุมสะท้อนให้เห็นบางอย่าง ก็คงเป็นภาพที่ไม่มีใครต้องการให้เกิด และหากเกิดแล้วเรายังปล่อยปะละเลย มุมสะท้อนนี้จะยิ่งมากขึ้น แย่ขึ้น และยากที่จะแก้ไข มาช่วยกันเรียนรู้และถอดบทเรียนครั้งนี้ และช่วยกันแก้ปัญหาอย่างจริงกันเสียที อย่าแค่พูดแล้วปล่อยให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเลย

 

 

คอลัมน์ : ตื่นข่าว

ผู้เขียน : กิตติเมธี

Leave a Reply