อัศจรรย์! เกศากลายเป็นพระธาตุ หลวงปู่สูนย์ จันทสุวัณโณ วัดอิสระธรรม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร

อัฐิและเกศาเป็นพระธาตุ มีคำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ ของ นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎ พบกรรมทฤษฎี ธรรมประยุกต์ อธิบายว่า

ในพุทธศาสนาของเราทั่วทั้งสากลจักรวาลทั้งหมดนี้ ที่รวมสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทุกอย่างนั้น แบ่งออกได้เป็นปรมัตถ์สัจจะหรือความจริงสูงสุดได้ ๒ อย่างเท่านั้น คือ

อย่างแรกเรียกสังขตธรรม คือ ธรรมชาติที่เกิดจากการปรุงแต่ง ซึ่งแยกได้เป็น ๒ ส่วน คือ รูป กับ นาม

ทั้งนี้ถ้าถามว่ารูปกับนามคืออะไร ก็ตอบว่าทั้งหมดทั้งปวงในจักรวาลทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตนั้นคือรูปกับนามทั้งสิ้น

ทั้งนี้ หากขยายความโดยโยงกับวิทยาศาสตร์ก็ได้ว่า รูป คือ สสารและพลังงานทุกอย่างทางวิทยาศาสตร์ ส่วน นาม คือ จิต และ เจตสิกในพุทธศาสนา

ในขณะที่ความจริงสูงสุดอีกอย่างหนึ่งก็ คือ อสังขตธรรม คือ ธรรมชาติ ที่ไม่มีการปรุงแต่ง ซึ่งธรรมชาตินี้ก็คือสภาวะนิพพานนั่นเอง ธาตุต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ ที่มีในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่น

คาร์บอน (C) ที่มีในต้นไม้ในถ่านไม้ ถ่านหิน แต่จากระยะเวลาที่ธาตุคาร์บอนเหล่านี้ ได้รับพลังงานจากแรงอัดพลังงานจากความร้อน ฯลฯ นับแสนๆ นับล้านๆ ปีก็ทำให้ธาตุคาร์บอนที่เริ่มแรกเป็นไม้หรือถ่านไม้ธรรมดา กลายเป็นเพชรไปในที่สุดได้เหมือนกัน

นอกจากนี้แล้ว พวกพลอยต่างๆ ที่มีคุณภาพไม่ดีนักก็อาจเอามาเผาให้พลังงานความร้อนเข้าไปพลอยก็จะมีสีสวยนั้น มีความแข็งขึ้นได้เช่นกัน

โดยสรุปก็คือ มนุษย์สามารถเอาพลังงานทางวิทยาศาสตร์นั้น มาใส่เพิ่มเข้าไปในธาตุต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพให้วัตถุธาตุนั้น มีสีสวยขึ้นแข็งขึ้น หรือเปลี่ยนสภาพไปได้ เช่น จากถ่านเป็นเพชร

“พลังจิตของพระอรหันต์นั้นสูงกว่าพลังงานทางโลกที่มนุษย์ทำได้นับล้านๆ เท่า และพลังงานนี้จะโดยจงใจหรือไม่จงใจผู้เขียนก็ไม่ทราบได้

แต่พลังงานนี้สามารถทำให้กระดูกหรืออวัยวะส่วนใดของพระอรหันต์ก็ตาม แปรสภาพเป็นธาตุที่แข็ง มีสีสดใส แวววาว เป็นสภาพที่เราเรียกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ตามที่เราเห็นกันในปัจจุบัน” นายโอฬารกล่าว

พร้อมกันนี้ นายโอฬารยังอธิบายต่อว่า ขบวนการก็อาจอธิบายได้เช่นเดียวกับธรรมชาติ ได้สร้างเพชรและพลอยต่างๆ ให้เกิดขึ้นในโลกนี้ แต่ขบวนการทางโลกใช้พลังงานทีละน้อย สะสมกันนับล้านๆ ปี แต่พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุต่างๆ นั้นใช้ระยะเวลาสั้นๆ แต่ใช้พลังงานจากจิตของผู้บรรลุนิพพานแล้ว

ซึ่งสูงเป็นล้านๆ เท่าของพลังงานธรรมชาติ ซึ่งก็สามารถเปลี่ยนธาตุธรรมดาให้เป็นธาตุพิเศษ มีความแข็ง แวววาว และมีสีสันต่างๆ ตามลักษณะของพระธาตุทั่วไป ที่เราพบเห็นในปัจจุบันนั้นเอง ก็เป็นคำอธิบายในกรอบกว้างๆ ทางวิทยาศาสตร์ว่าพระธาตุต่างๆ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีอัฐิพระอริยสงฆ์ในยุคปัจจุบัน ที่สามารถแปรเป็นพระธาตุนั้นก็มีอยู่ด้วยกันหลายรูป แต่ละรูปก็มีลักษณะของพระธาตุจำนวนมากมาย ทรงไว้ด้วยความน่าอัศจรรย์ใจ เช่น

หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร (พรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน หรือครูบาเจ้าพรหมจักรได้ดับขันธ์ (มรณภาพ) ในท่านั่งสมาธิภานา เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗ เวลา ๐๖.๐๐ น.อายุ ๘๗ ปี ๖๗ พรรษา หลังจากพระราชทานเพลิงเสร็จสิ้นแล้วได้เก็บอัฐิ ปรากฏว่าอัฐิของครูบาเจ้าพรหมจักรได้กลายเป็นพระธาตุ มีวรรณะสีต่างๆ หลายสี

ทั้งนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดป่าอรัญวิเวก ต.บ้านป่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พระอริยะสำคัญสายพระอาจารย์มั่น และเป็นสหายร่วมธุดงค์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้เคยกล่าวไว้ว่า

“อำนาจตบะที่อริยบุคคลได้ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรเพื่อขัดเกลากิเลสนั้น มิได้แผดเผาชำระล้างเฉพาะกิเลสเท่านั้น หากแต่ได้แผดเผา ชำระล้าง ซักฟอกกระดูกในร่างกายให้กลายเป็นพระธาตุไปด้วยในขณะเดียวกัน”

ส่วนกรณีของธาตุของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร ณ วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

เมื่อถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว อัฐิขององค์หลวงปู่ได้ถูกแบ่งแจกไปตามจังหวัดต่างๆ และประชาชนได้เถ้าอังคารไป ยังที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุไปหมด

แม้แต่เส้นผมของท่านที่มีผู้เก็บไปบูชาในที่ต่างๆ ก็กลายเป็นพระธาตุนั้น หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยอธิบายไว้ว่า

“อัฐิพระอรหันต์ก็ดี ของสามัญชนก็ดี ต่างก็เป็นธาตุดินเช่นเดียวกันการที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ขึ้นอยู่กับใจหรือจิตเป็นสำคัญ อำนาจจิตของพระอรหันต์ท่านเป็นอริยจิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสเครื่องโสมมต่างๆ อำนาจซักฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตามส่วนของตน อัฐิจึงกลายเป็นพระธาตุไปได้

ต่อัฐิหรือกระดูกสามัญชนทั่วไป แม้จะเป็นธาตุดินเช่นเดียวกัน แต่จิตสามัญชนทั่วไปเต็มไปด้วยกิเลส จิตไม่มีอำนาจและคุณภาพที่จะซักฟอกธาตุขันธ์ของตนให้บริสุทธิ์ได้

อัฐิจึงจำต้องเป็นสามัญธาตุไปตามวิสัยจิตของคนมีกิเลส จะเรียกไปตามภูมิของจิตภูมิของธาตุว่า อริยจิต อริยธาตุ และสามัญจิต สามัญธาตุก็คงไม่ผิด เพราะคุณสมบัติของจิตของธาตุระหว่างพระอรหันต์กับสามัญชนย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน ดังนั้น อัฐิจึงจำเป็นต้องต่างกันอยู่ดี”

พระผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ของที่เกี่ยวเนื่องกับสังขารท่านเช่น ผม เล็บ หรือกระดูกจะสามารถแปรเป็นพระธาตุได้ ในหลายกรณีพบว่าในส่วนของเกศานั้นมักแปรสภาพได้ตั้งแต่สมัยที่บุคคลท่านนั้นยังมีชีวิตอยู่

การแปรสภาพของเส้นผมตลอดจนส่วนอื่นๆนั้นเป็นระดับของบุคคลที่บรรลุธรรมชั้นพระอนาคามีและพระอรหันต์ ทั้งนี้ต้องเป็นพระอริยะเจ้าที่ชำนาญในฌานหรือเป็นที่รักของเหล่าเทวดา

บางท่านอาจตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ให้ธาตุของตนเป็นพระธาตุเพื่อเป็นที่สักการะของมนุษย์และเทวดาเป็นไปเพื่อให้เกิดกุศลทำให้ผู้กราบไหว้ได้บุญเป็นทุนไปสู่สุคติภพ

ลักษณะพระธาตุจากเส้นเกศา มีหลากหลายลักษณะเช่นเป็นเม็ดดั่งก้อนกรวด เป็นแก้วใส เป็นสีขาวดั่งมะลิ มีความเชื่อกันว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อแผดเผากิเลสนั้นอำนาจจากทั้งทางด้านสมถะฌานและอำนาจจากการพิจารณาของปัญญานั้น

นอกจากจะซักฟอกจิตให้บริสุทธิ์แล้วยังมีอานุภาพซักฟอกและแปรสังขารร่างกายให้เป็นธาตุหรือพระธาตุได้ด้วย ยิ่งท่านใดที่ผ่านการเพ่งพิจารณาสังขารมามากและทรงสังขารให้พลังจิตซักฟอกธาตุขันธ์ยิ่งทำให้เส้นผมหรือเล็บของท่านกลายเป็นพระธาตุได้ง่าย

ธาตุที่เกิดจากการแปรของสังขารถือว่าเป็นธาตุที่บริสุทธิ์ และถือว่าเป็นธาตุที่ได้ซึมซาบพลังบริสุทธิธรรมอันเกิดจากอำนาจทางด้านสมถะคืออำนาจจากฌาน ๑ถึงฌาน ๔

นอกจากทำให้สังขารเปลี่ยนแปลงยังทำให้ธาตุในส่วนนั้นๆ กลายเป็นวัตถุที่มีพลังเหนือโลก สามารถส่งรัศมีคุ้มครองหรือเสริมสร้างสิริมงคลแก่ผู้เลื่อมใสศรัทธาตลอดจนบ้านเรือนที่อยู่อาศัย

พระสายป่าสายปฏิบัติที่ มีเส้นเกศาพระธาตุ ในคุยปัจจันและสามารถพิสูจน์ได้ คือ หลวงปู่สูนย์ จันทสุวัณโณ วัดอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร

หลวงปู่สูนย์ ปัจจุบันอายุ ๘๘ ปีแล้ว ท่านบวชมาตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี กับ “หลวงปู่สีลา อิสฺสโร” เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กอปรด้วยศีลและธรรม มีศีลาจารวัตรที่งดงาม เป็นพระที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย คำสั่งสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงปู่ มั่น ภูริทตฺโต พระบูรพาจารย์สายพระป่า

คราใดหลวงปู่สีลาไปพบหลวงปู่มั่น สามเณรสูนย์จะติดตามไปด้วยทุกครั้ง คำสอนที่หนึ่งที่หลวงปู่มั่นสอน คือ “ให้พิจารณา เนื้อหนังมังสา” เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็บวชเป็นพระภิกษุ

ระหว่างที่บวชท่านได้สนทนาธรรม และ ฝึกปฏิบัติธรรมกับกรรมฐานสายป่าหลายรูป โดยได้ยึดปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด เข้าพรรษาที่ ๕ จึงออกธุดงค์ไปตามสถนานที่ต่างๆ โดยท่านได้ไปปฏิบัติบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งของ จ.ปราจีนบุรี นานถึง ๑๓ ปี

เคยมีลูกศิษย์หลายคน ถามหลวงสูนย์ว่า “ระหว่างธุดงค์ในป่าได้พบเรื่องราวอะไรบ้าง”

หลวงสูนย์ บอกว่า การบำเพ็ญเพียรในป่า ในถ้ำ ได้พบเรื่องราวแปลกๆ ที่อัศจรรย์ ทั้งที่เล่าให้ฟังได้ และบางเรื่องก็เล่าให้ฟังไม่ได้ เพราะจะกลายเป็นการอวดอุตริมนุษย์ธรรม

ในกรณีมีคนใส่บาตรระว่างอยู่ในป่าลึก อยู่ในป่าลึก หรือไม่นั้น หลวงศูนย์ บอกว่า ระหว่างออกบิณฑบาตนั้น ต้องเดินก้มหน้า มองไปข้างหน้าไม่เกิน 3 ก้าว

อาจจะดูเป็นเรื่องแปลกสำหรับคนทั่วๆ ไป ทั้งๆ ที่ในป่าไม่มีหมู่บ้านคน แต่มีหญิงชายแต่งตัวด้วยผ้ามัดหมี่มาใส่บาตรทุกๆ เช้า เป็นอย่างนี้เรื่อยมา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเหยหน้ามองใบหน้าผู้ที่มาใส่บาตรด้วยความสงสัย กลับกลายเป็นว่า อาหารที่ใส่บาตรนั้นหายไปด้วย จากนั้นเป็นต้นมาไม่เคยเกิดความสงสัยอีกเลย

นอกจากนี้แล้วยังเคย ปฏิบัตินั่งวิปัสสนากรรมฐานเป็นเวลา ๓ ปี ที่ถ้ำผาจรุย หรือ ถ้ำพระอภิรมย์ ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าแงะ อ.ป่าแดด จ.เชียงราย ซึ่งถือว่าเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์

ครั้งหนึ่งได้มีหญิงชายรูปร่างและหน้าตาดี แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองมาสนทนาธรรมด้วยประมาณ ๓๐ นาที จากนั้นก็ลากลับไป เป็นเรื่องแปลกเมื่อพ้นจากปากถ้ำหญิงชายรูปร่างและหน้าตาดี ก็ลอยหายไปในอากาศ

หลงจากธุดงค์ไปทั่วจึงงกลับมาอยู่กับหลวงปู่สีลา วัดอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เพื่อช่วยให้เป็นสำนักปฏิบัติอบรมกรรมฐาน สอนศีลธรรมแก่ญาติโยม ให้รู้จักธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนให้ชาวบ้านเลิกนับถือผี แล้วหันมาเคารพนับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกสูงสุดแทน

จากประสบการณ์ตรงของหลวงปู่สูนย์ “ดาบธี ภาค ๗” บอกว่า โดยนิสัยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์มาตั้งแต่เด็ก และมักจะเกี่ยวข้องกับพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง เมื่อมาบรรจุเป็นตำรวจมักมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับปาฏิหาริย์กับผู้ต้องหามากมาย

ด้วยความสนใจเรื่องพระเครื่องและเครื่องรางของขลังมักจะขอดูทุกที เมื่อจบคดีก็จะหาเช่าพระเหล่านี้มาเก็บไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระสร้างใหม่ราคาไม่แพง บางรุ่นยังไม่หมดจากวัดด้วยซ้ำ

การเช่าวัตถุมงคลนั้นคนส่วนใหญ่หวังพึ่งพุทธคุณในองค์พระ แต่กว่าจะรู้ว่าพระนั้นมีพุทธคุณก็หมดจากวัดและมีราคาสูงแล้ว อย่างกรณีพระเครื่องของ หลวงปู่แผ้ว ปวโร วัดรางหมัน รวมทั้ง พระเครื่องของ พระครูภาวนาปัญญาดิลก หรือ หลวงปู่มหาเจิม ปัญญาพโล เจ้าอาวาสวัดสระมงคล อ. กำแพงแสน จ.นครปฐม เป็นพระใหม่ที่มีประสบการณ์สูงมาก

ทั้งนี้ “ดาบธี ภาค ๗” พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “หลายคนอาจจะมองว่าพระใหม่ไม่จะมีพุทธคุณสู้พระเก่าได้อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมามีคดียิงกันนับสิบๆ คดี แต่คู่กรณีไม่เป็นอะไรเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าพระมีประสบการณ์รองรับจะไม่เช่าเก็บมาได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้จึงอยากแนะนำว่า อย่าดูถูกพุทธคุณพระสร้างใหม่ และพระใหม่ในวันนี้จะเป็นพระเก่าในวันหน้า พระเก่าที่เราเล่นอยู่ทุกวันนี้สมัยหนึ่งเคยเป็นพระใหม่มาก่อนทุกองค์ทุกรุ่น

สำหรับผู้ที่อยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์พระสร้างใหม่ โดยเฉพาะพระประสบการณ์พระขึ้น สน.ในเขต จ.นครปฐม และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะพระเครื่องของ หลวงปู่สูนย์ รุ่นล่าสุด ประกอบด้วย เหรียญรูปไข่ พระพิมพ์มาเด็จรูปเหมือนหลวงปู่ศูนย์ และ พระปิดตา

“ดาบธี ภาค ๗” ยินดีให้ข้อมูล สามารถสอบถามได้ที่ โทร. ๐๘๓-๙๑๖-๒๔๒๒ และ ๐๘๒-๖๕๐-๓๓๙๑

Leave a Reply