วันที่ 25 ต.ค. 64 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้รองเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำผู้แทนพระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจาก 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยเครือข่ายพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ เฝ้ากราบทูลรายงานการดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนพระพุทธศาสนา และวิถีความเป็นอยู่ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช มีรับสั่งประทานกำลังใจ และประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า
“ขอแสดงความชื่นชมในกุศลจริยา ที่ช่วยกันเสริมสร้างสันติสุขในสังคม กับทั้งอดทนพากเพียรประกอบกรณียกิจ เพื่อความยั่งยืนสถาพรของพระพุทธศาสนาบนแผ่นดินไทย ณ โอกาสที่เราทั้งหลายได้มาพบปะกัน อาตมภาพขอเชิญพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งซึ่งทุกท่านคงได้ยินอยู่เนืองๆ มาปรารภไว้เป็นข้อคิดอีกครั้ง สำหรับการประพฤติตนและปฏิบัติงาน ในสังคมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา ความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ พุทธศาสนสุภาษิตบทนั้น เจ้าพระคุณ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า ‘โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา’ แปลความว่า ‘เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก’

ความเมตตานั้นมีคุณานุคุณกว้างขวางยิ่งนัก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอานิสงส์ไว้ถึง 11 ประการ อานิสงส์ข้อสำคัญสำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ได้แก่ ผู้เจริญเมตตา ‘ย่อมเป็นที่รักในหมู่มนุษย์’
ความรักใคร่กลมเกลียวสามัคคีปรองดองกันในหมู่มนุษย์ อันหมายถึงสันติสุขที่ทุกคนปรารถนา ย่อมไม่อาจบังเกิดขึ้นได้เลย หากแต่ละบุคคลยังปราศจากเมตตาอย่างจริงใจต่อกัน เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านจงตั้งต้นการประพฤติปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ด้วยการเจริญเมตตาพรหมวิหารอยู่เสมอทุกลมหายใจ เริ่มจากคนใกล้ ขยายวงออกไปสู่คนไกล และเริ่มจากคนที่เรารักใคร่ชอบพอ ขยายวงออกไปสู่คนที่มีจิตประทุษร้ายหรือตั้งตนเป็นไพรี


Leave a Reply