ปลัดกระทรวงมหาดไทยประชุมร่วมคณะสงฆ์และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เน้นย้ำทุกคนคือความหวังในการช่วยกันทำให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
วันที่ 2 เมษายน 2565 เวลา 14:30 น. ที่ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่โคก หนอง นาโมเดล (CLM) “โคก หนอง นา พัฒนาชุมชน” พุทธอุทยานดอยอินทรีย์ บ้านดอยฮางใน หมู่ที่ 1 ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานประชุมขับเคลื่อนงานตามนโยบายการขับเคลื่อนงานตาม MOU ด้านสาธารณสงเคราะห์ ระหว่างมหาเถรสมาคม กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กับคณะสงฆ์และส่วนราชการจังหวัดเชียงราย โดยมี นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายทวี เสริมภักดีกุล อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพิริยะ ฉันทดิลก รองอธิบดีกรมการปกครอง นายบัญชา เชาวรินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวราดิศร อ่อนนุช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเชฐ โสวิทยสกุล ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย รองศาสตราจารย์วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ นายอำเภอ ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ทีม Change for Good กระทรวงมหาดไทย ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม โดยได้รับเมตตาจากพระพิพัฒน์วชิโรภาส ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พระครูขันติพลาธร เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย พระครูพิศาลธรรมาทร เจ้าคณะอำเภอเชียงแสน พระอาจารย์วิบูลย์ ธมฺมเตโช เจ้าอาวาสวัดพุทธอุทยาน (ดอนอินทรีย์) พระวีระยุทธ์ อภิวีโร พระสังฆาธิการ และพระเถระจากอำเภอต่าง ๆ ร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เป็นความโชคดีของพุทธศาสนิกชนรวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ที่นับตั้งแต่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้มีพระบัญชาแต่งตั้งสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม เจ้าประคุณสมเด็จฯ และพระมหาเถระในฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม ได้นำคณะสงฆ์ให้เกิดความตื่นตัวในการที่จะช่วยสงเคราะห์ญาติโยม ไม่ใช่เฉพาะในเรื่องของทางธรรมอย่างเดียว แต่รวมถึงสงเคราะห์ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย โดยได้เมตตาให้กระทรวงมหาดไทยได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ ด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืนระหว่างฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งเป็นการน้อมนำหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนในสังคมได้ช่วยกันโดยอาศัยพลังความรัก ความสามัคคี ตามหลัก “บวร” คือ บ้าน (พี่น้องประชาชน) วัด (คณะสงฆ์) และราชการ (ส่วนราชการต่าง ๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ผนึกกำลังช่วยกันทำงานตอบแทนบุญคุณแผ่นดินในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข พี่น้องประชาชนทั่วราชอาณาจักร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี คนที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น คนที่แย่ให้ดีขึ้น อันส่งผลทำให้เกิดการ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศที่บริสุทธิ์ อาหารการกินที่ปลอดภัย มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง แข็งแรง ลูกหลานได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ ทุกคนได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองและครอบครัว และมีโอกาสสร้างคุณประโยชน์ให้กับหมู่บ้าน/ชุมชน ตำบล ท้องถิ่น และประเทศชาติ และประการสำคัญ ต้องมีศีลธรรม มีจิตอาสา เสียสละเพื่อช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือชุมชน/ หมู่บ้าน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ มีเยอะก็ไม่รู้จักแบ่ง และเมื่อผู้คนมีความรัก ความสามัคคี เป็นคนดี ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราดีไปด้วย

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ไม่ทรงทอดทิ้งศาสนิกชนใด จึงทรงมีหลักการทรงงานที่ได้พระราชทานให้แก่ข้าราชการ ประชาชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำศาสนา ต้องผนึกกำลังเพื่อ Change for Good ให้เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้เป็นผู้นำและให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด ทั้งเรื่องบูรณาการงานอบรมประชาชนกลาง หรือ อ.ป.ก. โดยให้คณะสงฆ์ออกไปพูดคุยกับประชาชนเพื่อให้ประชาชนมีดวงตาเห็นธรรม เป็นฆราวาสที่ดี ดูแลครอบครัว และยกระดับต่อยอดสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลในขณะนี้ คือ การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วยวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าให้กับประชาชน และอยู่ระหว่างการสำรวจข้อมูลผู้ได้รับความเดือดร้อนเพิ่มเติม โดยหากคณะสงฆ์ได้พบเจอผู้คนที่เดือดร้อน ขอให้ได้แจ้งไปยังนายอำเภอผ่านสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม โทร. 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ “ความยากจน” คือ ความเดือดร้อนทุกประเภทที่พี่น้องประชาชนประสบอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองได้ ไม่ได้มีนัยยะแค่ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน แต่หมายรวมไปถึงเรื่องการป่วยเรื้อรังแล้วไม่มีคนดูแล ไม่มีกำลังที่สามารถไปหาหมอได้ หรือแม้กระทั่งสายตายาว สายตาสั้น ไม่มีเงินไปตัดแว่น เดินไม่ได้เพราะชราภาพมากหรือป่วยติดเตียง ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไม่มีบัตรประชาชน มีลูกหลานติดยาเสพติด จึงเป็นโอกาสดีที่นายอำเภอทั้ง 878 อำเภอจะได้ร่วมกับเจ้าอาวาสวัดในทุกชุมชนช่วยกันสงเคราะห์พี่น้องประชาชน รวมไปถึงบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือดำเนินโครงการ “วัด ประชา รัฐ สร้างสุข” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นโดยความเมตตาของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมโดยมีวัดเป็นศูนย์กลางการพัฒนาทั้งด้านสุขภาพ พลานามัย และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เราต้องการให้มีขึ้นในสังคมของเรา เพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ รวมถึงกิจกรรมเชิงพุทธ ก่อให้เกิดความเชื่อมโยงและสัมพันธภาพที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างวัดกับชุมชน ทำให้พระมีสุขภาพที่แข็งแรง วัดมีความมั่นคง ชุมชนก็มีความเข้มแข็ง เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อส่วนรวม โดยผู้ว่าราชการจังหวัดต้องทำให้นายอำเภอได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการกำกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปขับเคลื่อนทำให้วัดเป็นแหล่ง ครู คลัง ช่าง หมอ ด้วยการอบรมสั่งสอน เป็นคลังอาหาร สรรพวิทยาการ โดยพระสงฆ์ที่มีความสามารถทางด้านงานช่าง และวัดเป็นศูนย์กลางของความรู้ทางด้านยาสมุนไพร แพทย์ทางเลือก


Leave a Reply