พุทธอิสระ ตอบ แฟนคลับ “ 2 มหา ”  การบวชเรียนของพระสงฆ์ “มีปัญหาหรือเปล่า”

วันที่ 27  เมษายน 2565   เฟชบุ๊ค  “หลวงปู่พุทธอิสระ”  (Buddha Isara)  หรือ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม  ได้โพสต์ประเด็น  ถามมา ตอบไป ของอดีตแฟนคลับ 2 มหา ความว่า

..ดิฉันเคยเป็นเอฟซีของ ๒ มหา ที่สึกออกไปรู้สึกใจหาย เหมือนกันกับคนที่เราเคยกราบ เคยไหว้ เคยชื่นชอบเคารพบูชา เสียดายทั้งกาลเวลาที่บวชเรียนมา และความรู้ที่มหา ๒ คนไปร่ำเรียนมาจนได้ปริญญาหลายใบ

 เมื่อเขาสึกออกมาดิฉันก็ยังติดตามดูเขาทุกครั้งที่ออกสื่อ

 แต่พักหลังๆ ติดตามแล้วรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว เสียใจ ที่เมื่อก่อนเคยตั้งความหวังเอาไว้กับมหาสองคนนี้มาก

 หวังว่าจะเชิดหน้าชูตาพระพุทธศาสนา และเป็นที่พึ่งพาแก่ชาวบ้านอีกทั้งยังคิดว่า มหาสองคนนี้แหละ จะเป็นต้นแบบที่ดีของคนรุ่นใหม่

 แต่ปัจจุบันนี้ความหวังของดิฉันล่มสลาย เมื่อได้เห็นภาพมหาทั้ง ๒ ประพฤติตนละเมิดศีลเป็นอาจิน ดื่มสุรา เคล้านารี (อันนี้เฉพาะคนเดียว ส่วนอีกคนก็คลอเคลียกับหนุ่มหล่อ) เสพติดกับอบายมุข ครบสูตรทั้งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า เป็นหนทางแห่งความฉิบหาย

 มหาทั้งสองทำครบหมด

 ล่าสุดยังมีภาพมหานั่งแกะหอยสด ปาณาติปาตาศีลข้อแรกอีกต่างหาก

สิ่งที่ดิฉันสงสัยและอยากถามท่านก็คือ

การศึกษาในพระพุทธศาสนานี้ มันไม่สามารถบ่มเพาะผู้คนที่บวชเรียนมาให้เป็นคนดี มีศีลธรรมได้เลยหรือ บางคนบวชมาจนเป็นเจ้าคณะอำเภอ ยังนั่งก๊งเหล้ากินกับแกล้ม ร้องคาราโอเก๊ะ ทั้งที่อยู่ในชุดผ้าเหลือง

นี่แสดงว่า การบวชเรียนของพระสงฆ์องค์เจ้า น่าจะมีปัญหาหรือเปล่า อยากฟังท่านอธิบาย

ขออภัยที่ระบายมาเสียยืดยาว

ตอบคุณเอฟซีอกหัก

ดูจากการตั้งประเด็นคำถามของคุณคงน่าจะมีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา มากพอสมควร จึงรู้ว่า “อบายมุข คือ เหตุแห่งความฉิบหาย” แต่ที่คุณรำพึงรำพันระบายความอัดอั้นออกมาเสียยืดยาว ฉันพอจะเข้าใจได้ว่า

นี่เป็นความรู้สึกหมดอาลัยกับบุคคลที่คุณเคยเคารพ เคยศรัทธา ให้ความหวังกับเขาไว้มาก

หากคุณรู้สภาวะธรรมจริง คุณก็ควรจะรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของคนธรรมดาที่มีอยู่ในโลกใบนี้

ผู้มัวเมาประมาทมักตกอยู่ในกระแสของกิเลสตัณหา นำพาให้ตกต่ำเสมอ และอยากเตือนให้สติคุณว่า จะไปหวังอะไรกับลูกชาวบ้านที่เข้ามาอาศัยพระพุทธศาสนาหาเลี้ยงชีพ

เพราะจุดมุ่งหมายของคนอาศัยพระศาสนาเลี้ยงชีวิต ย่อมแตกต่างจากคนที่เข้ามาอาศัยพระศาสนาเปลื้องทุกข์อยู่แล้ว

เฉกเช่นคนที่หาเลี้ยงตนเองก็ย่อมปรารถนาตนเป็นใหญ่

คนที่ต้องการจะหลุดพ้นก็จะปรารถนาอาสวะที่ก่อให้เกิดทุกข์เป็นใหญ่

เรื่องเหล่านี้มันดูไม่อยากหากสังเกต และไม่ลุ่มหลง งมงายจนเกินไป

อีกทั้งก็อยากจะบอกคุณๆ ทั้งหลายว่า จะไปเอาอะไรกับมหาทั้งสองกันนักหนา เมื่อเขาสึกออกไปแล้วก็ต้องปากกัดตีนถีบ ทำมาหากินตามวิถีชาวโลก ซึ่งก็มีได้บ้าง เสียบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ละคนปนเคล้ากันไป

มหาทั้งสองอาจจะพิเศษหน่อยตรงที่มีดีกรีของนักธรรม มหาเปรียญ และปริญญาทางพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะทำให้สังคมคาดหวังว่า เขาน่าจะเป็นต้นแบบที่ดีงามในทางจริยธรรม ศีลธรรม ให้แก่คนอื่นๆ ก็เท่านั้น

เมื่อเขาทำไม่ได้ คุณทั้งหลายก็ควรเลิกหวังปล่อยให้เขาเดินในเส้นทางที่เขาเลือกจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับพวกคุณๆ

ส่วนที่คุณถามมาว่า การศึกษาของพุทธศาสนานั้นมีปัญหา สร้างปัญหาหรือเปล่า

ตอบข้อนี้ว่า หากเป็นการศึกษาตามหลักพระธรรมวินัย อันมีหลักอยู่ว่า

เล่าเรียนทฤษฎี เรียกว่า ปริยัติ

น้อมนำมาปฏิบัติ เรียกว่า ลงมือปฏิบัติให้เห็นผล

จนลุถึงผลอันสูงสุด เรียกว่า ปฏิเวธ

หากศึกษาตามหลักนี้ ไม่มีปัญหา หรือหากจะมีก็น้อยมาก นี่เรียกว่า ร่ำเรียนเพื่อความหลุดพ้นทุกข์..

Leave a Reply