ฉับพลัน!! ที่เห็นภาพการประชุมคณะกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ พระพรหมบัณฑิต เป็นประธานกรรมการ โดยมีองคมนตรี กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมด้วยพระเถระผู้ใหญ่แล้ว แค่ดูจากโครงสร้างและคำสัมภาษณ์ของพระพรหมบัณฑิตแล้ว ด้วยความเคารพและเชื่อในความเก่งของประธาน แต่ขอบอกตรง ๆ ว่า “ล่มปากอ่าว” ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง หากคิดแบบนี้
เพราะลักษณะทำงานเหมือน “ข้าราชการ” เป๊ะ คิดจากข้างบนแล้วกระจายไปด้านล่าง ไม่ได้ดึงพระนักเผยแผ่ ฆราวาสนักเผยแผ่ศาสนาเข้ามามีส่วนร่วม คิด ร่วมทำ อะไรเลย สิ่งที่ทำมันจึงมิได้เกิดจาก “จิตวิญญาณ” ของพระนักเผยแผ่อย่างแท้จริง แต่เกิดจากโครงสร้างแบบรัฐ คิดแบบ ระบบราชการ มันจึง “ล่มปากอ่าว” คิดแบบเชิงอำนาจนิยม ไม่ได้คิดแบบนักกิจกรรมเขาทำกัน

ความจริงภาพเมื่อวานนี้ควรมีภาพพระนักเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ทั้ง ว.วชิรเมธี , พระราชญาณกวี วัดพระรามเก้า พระครูสังฆรักษ์ศักดา สุนฺทโธ , ท่านจันทร์แห่งสันติอโศก ทีมงาน ธรรมะอารมณ์ดี หรือแม้กระทั้ง สมปอง นครไธสง,ไพรวัลย์ วรรณบุตร,
ยุควิกฤติศรัทธานศาสนาแบบนี้..เลิกคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย อย่าเกรงอกเกรงใจ “ชนชั้นอำนาจ” ใครเก่ง ใครมีความสามารถ มีศักยภาพ “ดึงมาเป็นส่วนร่วม” ให้หมด จึงเชื่อมั่นว่า “พุทธศาสนาอยู่ได้ ทุกสถาบันอยู่รอด”
ที่ผ่านมาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศไทย “ล้มเหลว” เพราะคิดแบบพระ คิดแบบข้าราชการ ประชาสัมพันธ์ แบบยัดเยียด ไม่ได้มีส่วนร่วม เช่น ต้องเชิดชูประวัติศาสตร์,ต้องเชิดชูสถาบันหลัก,ต้องเชิดชูพระบุรพาจารย์,เผยแผ่แต่กิจกรรมวัด,เผยแผ่แต่งานบุญ และอาศัยตัว “บุคคลเป็นแกน” ไม่มี “คอนเทนต์” ไม่มีกลวิธี ไม่มีการประเมินผลอะไรเลย และทั้งไม่คิดถึงวิธีการนำเสนอ “สาร” หรือ สารที่จะสื่อถึง “กล่มเป้าหมาย” เลย
พูดง่าย ๆ คือนักเผยแผ่ส่วนใหญ่ “คิดเอาแต่ได้” พูดฝ่ายเดียว มิได้คิด เพื่อ “มวลมนุษย์” หรือเพื่อ “จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย”
หรือบางรูป บางคนอาจคิดแต่ “เสนอไม่เป็น”

การเผยแผ่ของคณะสงฆ์ปัจจุบันมันจึงเข้าไม่ถึง “คนยุคใหม่” เพราะไม่มีกลวิธีให้เข้าถึง หรือ ดึงดูดใจ เช่น เป็นเพลง,เป็นละครแฝงธรรมะ หรือเป็นบทละครแฝงมีบุคคลเป็นตัวนำ มีวัตรปฎิบัติด้วยหลักธรรมที่ “ทำดีแล้วได้ดี” ซึ่งในพระสูตรมีนับพันเรื่อง
การเผยแผ่จะให้ได้ผลมันต้องมีฝ่ายยุทธศาสตร์,ยุทธวิธี,คนคิดคอนเทนต์,นักเผยแผ่,ฝ่ายไอทีและช่องทางประชาสัมพันธ์
ยิ่งพระพรหมบัณฑิตตั้งเป้าหมายว่าจะให้เข้าถึงทั้งในประเทศและนานาชาติ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ หากตั้งเป้าหมายแบบนี้ ควรต้องพึ่ง “มันสมอง” จาก วัดหนองป่าพง,วัดพระธรรมกาย
ความจริง..มันต้องขอความร่วมมือจากนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน,สมาคมสื่อทั้งโทรทัศน์,วิทยุ,หนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ กลุ่ม “จิตอาสา” นักเผยแผ่พุทธศาสนา เข้ามาเป็นระดมความคิดเห็น เข้ามากำหนดยุทธศาสตร์ กลวิธี และช่องทางเผยแผ่ ด้วย
เชื่อขนมกินได้!! รูปแบบต่อจากนี้ไปคือ จัดตั้งคณะกรรมการเผยแผ่ แล้วประชุมระดับจังหวัด จัดทำหนังสือคู่มือเผยแผ่,ทำเว๊ปไซต์ รายงานคณะกรรมการชุดใหญ่ สรุปผลงาน เบิกงบประมาณแล้วก็ “จบ”


Leave a Reply