วันที่ 11 ส.ค. 65 จากกรณีร้อนที่สังคมโซเชียลต่างพากันแปลกใจ และวิพากษ์วิจารณ์กับท่าทางที่เปลี่ยนไปของ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร หลังออกจากการปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำเมืองแก๊ด รัฐฉาน เมียนมา ซึ่งล่าสุดมีการเปิดเผยข่าวที่ยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร มีอาการอาพาธ และได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนใน จ.เชียงราย และจะส่งต่อมารับการรักษา มายังกรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. ยูทูบช่อง “watthakhanun” หรือ พระครูวิลาศกาญจนธรรม หลวงพ่อเล็ก เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จังหวัดกาญจนบุรี ได้กล่าวผ่านรายการยูทูบเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ในวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 และในนาทีที่ 6.35 น. ได้กล่าวถึงประเด็นครูบาบุญชุ่มโดยระบุว่า “ส่วนเรื่อง “ดรามา” ในวงการสงฆ์ระยะนี้ ท่านทั้งหลายบางคนก็อาจจะได้ข่าวแล้ว ก็คือเรื่องที่ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร ออกจากกรรมฐาน 3 ปี 3 เดือน 3 วัน แล้วมีอาการแปลกๆ ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตก็จะเห็นว่าท่านไม่ค่อยจะปกติ ตรงนี้กระผม/อาตมภาพมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเกิดจากอาการมาลาเรียขึ้นสมองของ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร กำเริบ เหตุที่มั่นใจขนาดนั้นก็เพราะว่าเชื้อมาลาเรียตัวที่ครูบาบุญชุ่มได้รับกับตัวที่กระผม/อาตมภาพได้รับก็คือตัวเดียวกัน ก็แปลว่าเป็นเชื้อดื้อยาเหมือนกัน ถ้าหากว่าพักผ่อนไม่พอเมื่อไรก็อาละวาดเมื่อนั้น แล้วจะทั้งขึ้นสมองและลงกระเพาะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
สมัยที่ท่านเป็นใหม่ๆ อาตมภาพก็เคยบุกไปหาที่โรงพยาบาลเพื่อนำยาไปถวายครูบาบุญชุ่ม ต้องฝ่าด่านลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก เพราะเขากลัวว่าอาตมภาพจะไปรบกวนครูบาอาจารย์ของเขา คราวนี้ในเมื่อท่านเป็นมาลาเรีย อาการที่แสดงออกก็คือขาดสติเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าพระภิกษุสามเณรของเราศึกษาในอนาปัตติวาร คือการที่พระภิกษุละเมิดศีลเพราะอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะอาการเพ้อคลั่งด้วยเป็นบ้า พระพุทธเจ้าท่านยกให้ว่าไม่ต้องอาบัติ อย่าว่าแต่อาการที่ครูบาบุญชุ่มแสดงออก ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดละเมิดศีล แต่เป็นการแสดงท่าแปลกๆ ที่คนไม่เคยเห็นเท่านั้น รวมทั้งการวิ่งลงจากธรรมาสน์ไปไหว้สามเณรน้อยด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่บรรดาญาติโยมทั้งหลายจะมากังวล เพราะว่าในส่วนของการละเมิดศีล ครูบาบุญชุ่มก็ยังไม่ได้ละเมิด อาการที่แสดงออกก็เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วยพาไป เพราะว่ามาลาเรียขึ้นสมองนี่ ถ้าไม่ได้ตั้งหลักเข้าสมาธิเตรียมตัวไว้ก่อน ก็เสร็จทุกราย
อาตมภาพเองเคยโดนมาหนักๆ อุณหภูมิร่างกายขึ้นไปถึง 42 องศาเซลเซียส ไปหาหมอที่เวชศาสตร์เขตร้อน ไปถึงตอน 2 ทุ่มกว่า เจอพยาบาล 2 คนเข้าเวรอยู่ กำลังดูละครหลังข่าวอย่างมีความสุขมาก เจอคุณมงคล หรือที่พวกคุณเรียกว่าน้าแดง ไปด้วย ก็ไปถามคุณมงคลว่าเป็นอะไร คุณมงคลก็บอกว่า “ที่เป็นน่ะหลวงพี่ครับ ไม่ใช่ผม พยาบาลเห็นกระผม/อาตมภาพเดินได้ปกติอยู่ ก็เลยส่งเทอร์โมมิเตอร์ให้อมเพื่อวัดไข้ แล้วก็ดูหนังกันต่อไป เพลิดเพลินเจริญใจเสียไม่มี เวลาผ่านไปน่าจะเกิน 15 นาที ค่อยนึกได้ว่ามีพระป่วยนั่งหน้าจ๋อยอยู่ ก็เลยหยิบเทอร์โมมิเตอร์ไปดู แล้วก็ทำตาโต 42 องศาฯ แล้วท่านเดินมาได้อย่างไร ก็เดินมาอย่างที่เห็นนี่แหละ ถ้าหากว่าโยมดูหนังนานอีกหน่อย อาตมาก็คงดูด้วยจนจบนั่นแหละ พวกเขารีบยัดพาราฯ ลดไข้แก้ปวดให้ 2 เม็ด แล้วก็เจาะเลือดไปตรวจ คราวนี้หมอวิ่งมากันหมดเลย บอกว่าให้แอดมิตเดี๋ยวนี้ อาตมาบอกกับหมอว่า ไม่ได้ พรุ่งนี้ยังมีงานสำคัญรออยู่ ขอแค่ยาเท่านั้น หมอบอกว่าเชื้อสองล้านห้า ขนาดนี้เมื่อวานนี้เพิ่งจะตายไป 1 ศพ ก็เลยบอกกับหมอไปว่าอาตมาเป็นแบบนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว ถ้าจะตายก็ตายไปแล้วล่ะ ในเมื่อยังไม่ตายก็ขอทำงานก่อน เพราะฉะนั้นจัดยามาก็แล้วกัน
ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหากว่าเราไม่ได้เข้าสมาธิรอไว้ก่อน จะเข้าไม่ได้เลยนะ พอร่างกายแย่นี่ เรื่องสมาธิสมาบัติไม่เอาด้วยเลย แต่บังเอิญว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมปล่อยให้สมาธิหลุดก็เลยยังพอไปได้
อีกครั้งหนึ่งที่ไปโรงพยาบาล และโยมเห็นว่าป่วยมาก พาไปโรงพยาบาลและให้หมอตรวจ ทั้งๆ ที่อาการเห็นๆ แต่ผลตรวจกลับออกมาตรงกันข้าม ตัวร้อนฉ่า อาการไข้ไม่ต่ำกว่า 40 องศาฯ แต่วัดแล้วได้ 35.6 ร่างกายเย็นกว่าปกติ นั่นคือเครื่องมือหมอ ความดันขึ้นหัวจะระเบิด วัดได้ 110 และได้ไปเจอหมอเวร ได้ถามว่าท่านเป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า ถามได้น่าเตะมาก พอเป็นเช่นนั้นก็ได้คลายกำลังใจมา พอดีพยาบาลวัดความดันใหม่ ความดันก็ลดฮวบลงไปเลยเหลือ 60 อาการเจ็บไข้ได้ป่วยหูอื้อตาลาย ได้ยินเพียงพยาบาลกรี๊ดที่หู อาการคือคนไข้ช็อก แพทย์เวร 4 รายวิ่งมาดูหมด หมอจึงบอกว่าคนไข้บางประเภทกำลังใจทำให้เขาสามารถคุมร่างกายได้
โดยเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราตั้งท่ารับอยู่ก็พอที่จะรับไหว แต่ถ้าหากว่าเผลอปล่อยหลุด ก็จะออกอาการแบบ ครูบาบุญชุ่ม ก็คือถึงเวลาใจเราคิดอย่างหนึ่ง แต่ปากอาจจะพูดไปอย่างหนึ่ง หรือว่าใจเราอยากจะทำแบบนี้ แต่ถึงเวลาแล้วร่างกายกลับไปทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าสมองรวนหมดแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่บรรดาลูกศิษย์จะต้องกังวลว่าครูบาอาจารย์ตัวเองเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปเสื่อมศรัทธาว่าทำไมครูบาอาจารย์ของเราทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นได้ทุกคน บรรดาพระนักปฏิบัติ เวลาที่อาการกำเริบ อาการจะหนักกว่าคนทั่วไปอีก เพราะว่าสภาพจิตละเอียด สามารถรับอาการไข้ได้ทั้งหมด เพียงแต่ท่านจะแสดงออกหรือไม่เท่านั้น กระผม/อาตมภาพเห็นคนจำนวนมากกังวลเรื่องนี้ จึงนำมาบอกกล่าวเอาไว้ว่า ใครไม่เคยเป็นมาลาเรีย จะไม่รู้หรอกว่ารสชาติชีวิตเป็นอย่างไร กระดูกกี่ข้อมีอยู่ตรงไหนก็รู้หมด ท่านสามารถขึ้นไปเทศน์ให้โยมเป็นหมื่นฟังได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว”
ที่มา:ผู้จัดการออนไลน์
Leave a Reply