ปรากฎการณ์ “ครูกายแก้ว” ความอ่อนแอและไร้ความหมาย ของพุทธศาสนาในสังคมไทย

วันที่ 15 สิงหาคม ผู้ใช่เฟชบุ๊คชื่อ Kanat Naktanomsub ได้อธิบายปรากฎการณ์ของ “ครูกายแก้ว” ว่า   เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเพื่อผมคนนึง เขียนใน FB ว่า เหตุใดสายมู จึงเสียงดังขึ้นทุกทีในไทย ผมไม่แน่ใจนักว่าจะตอบได้ แต่ด้วยความระลึกถึง อ.นิธิ ที่เคยเขียนไว้สักแห่ง หรือหลายแห่ง ว่า พุทธไทยไม่ตอบโจทย์ ของสังคมมาพักใหญ่ ๆ แล้ว ไม่สามารถให้คำอธิบายกับสังคมได้อีกต่อไป พระไทยไม่สามารถนำหลักทางพุทธศาสนา มาอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้อย่างเท่าทันโลก ด้วยเหตุดังนั้น ผมจึงอาสาตอบปรากฏการณ์ดังกล่าว เท่าที่ความรู้จะอำนวย อาจจะล้มเหลวทั้งหมด แต่เพื่อเป็นการระลึกถึง อ.นิธิ ผู้ให้ความสว่างทางปัญญาแก่ผมมาร่วม 20 ปี

อ้างจากลัทธิพิธี เสด็จพ่อ ร.5 ตั้งแต่ทศวรรษ 2500 ลงมา ถึงปี 2536 เกิดคนกลุ่มใหม่ในสังคม กลุ่มคนที่มีความต้องการในชีวิตที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่การชี้นำไปยังทิศทางที่ของหายโดยเจ้าพ่อผ่านคนทรง ไม่ใช่การอยู่ยงคงกระพัน เพราะชีวิตของเขาไม่ต้องตีรันฟันแทงกับใคร ไม่ต้องการมนต์เสน่ห์หรือน้ำมันพรายสำหรับผูกมัดใจใคร ไม่ใช่ความปรารถนาจากการแทงหวย แต่ปรารถนาความเจริญมั่นคงในธุรกิจของตนเอง ไม่ใช่ความปรารถนาจะให้ลูกหลานรับราชการเป็นเจ้าคนนายคน แต่ต้องการให้ลูกหลานเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจของตนเอง

จากวันนั้น (2536) จนถึงวันนี้ (2566) 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอกับปรากฏการณ์ “สายมู” ที่เพิ่มความถี่ขึ้นมาตลอด ใครยังจำได้ คือ “จตุคามรามเทพ” ในปี 2547-2549 (9 ปี หลังปี 2536) ราวๆ 1 ปี ครึ่งเต็มๆ ที่จตุคาม สร้างเศรษฐีใหม่ จากการขายจตุคาม จนร้านข้าวต้มยาว แห่งท่าพระจันทร์ ที่เปิดขายมาหลายสิบปีปิดตัวลงเปลี่ยนเป็นร้านขายจตุคามแทน ใครพอจำได้ จตุคามรุ่นทรัพย์วิเศษ, ทวีโภคทรัพย์, มหาโชค, มั่งมีทรัพย์, รวยล้นเหลือ, รวยไม่เลิก, มหาเศรษฐีพันล้าน, รวยทันใจ จนเมื่อเร็วๆนี้ มีคนเล่าให้ผมฟังว่า ปลุกเสกไม่ทันจน ปลุกเสกกล่องเปล่า คือเอาจตุคามมาบรรจุที่หลัง (เพราะมวลสารยังไม่ครบ แต่กล่องพร้อมแล้ว ใส่กล่องศักดิสิทธิ์ ส่งขายได้ทันที)

ในครั้งนั้น นักวิชาการสายสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะ อ.นิธิ ออกมาเสนอบทวิเคราะห์ ว่า จตุคามนั่นสอดคล้องกับวิธีคิดและจริยธรรมของชนชั้นกลาง กล่าวคือ ทั้ง อยากรวย ทั้งอยากครอบครอง วัตถุที่จะนำมาซึ่งความรวย (ตัวองค์จตุคาม)  และยังกล่าวเสริมว่า ตัวองค์จตุคามที่ประทับทรง กล่าวผ่านร่างทรงว่าให้ “เก็บ” องค์จตุคามให้ดีๆ อนาคตจะแพงขึ้น ซึ่ง อ.นิธิ บอกเราว่านี่คือวัฒนธรรม “หุ้น” (การเก็งกำไรในอนาคต) ซึ่ง “ผมคิดว่าชาวนาไม่เข้าใจ”

ไอ้ไข่ ท้าวเวสสุวรรณ กังหันแชกงหมิว จนถึง ครูกายแก้ว

นับจาก ปี 2557 ที่ประยุทธ ทำรัฐประหาร จนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นช่วงที่ประเทศไทยประสบกับปรากฏการณ์ “สายมู” ถี่และบ่อยที่สุด นับตั้งแต่ก้าวสู่รัฐสมัยใหม่เลยก็ว่าได้ (ในแง่ของการรับรู้และแพร่กระจายความเชื่อได้ในวงกว้างผ่านสื่อใหม่) คำอธิบายดั้งเดิม คือความ มู ของผู้คน ผันแปรอยู่กับความไม่มั่นคง ทางเศรษฐกิจ การเมือง ยิ่ง รู้สึกไม่มั่นคงมาก ผู้คนยิ่งหันเข้าหา การทำนายอนาคต การครอบครองวัตถุมงคล ที่จะช่วยเหลือให้การงานการเงินมั่นคง รวมถึงการ “หาคู่”

การเติบโตทางเศรษฐกิจ และช่องทางใหม่ในการค้า เปลี่ยนผู้คนจากวัฒนธรรมเกษตรกรรมเข้าสู่ การเป็นผู้ประกอบการมากขึ้นอย่างชัดเจน เรียกได้ว่า สังคมไทยแพร่กระจายโลกทัศน์แบบชนชั้นกลาง ได้เร็วกว่ารายได้แบบชนชั้นกลาง  เพราะค่าแรงขั้นต่ำและเงืนเดือนขั้นต่ำ ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่สอดคล้องกับสภาพเงินเฟ้อ และราคาของสินค้า ประกอบกับโครงสร้างที่เอาเปรียบผู้คน ทำให้สังคมไทย ผลิต ชนชั้นกลาง ครึ่งๆ กลางๆ ที่ มีโลกทัศน์ใหม่ แต่โดนขูดรีดจากโครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างวัฒนธรรม

ด้วยเหตุดังนั้น คนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นนี้ตระหนักแล้วว่า ความฝันใผ่ถึงชีวิตที่ดีกว่าเดิม ในความหมายถึงการมีเงินมากขึ้น เพื่อใช้ในการซื้อ ครอบครองวัตถุ บริการ ที่ให้นิยาม “ชีวิตที่ดี” นั้นไม่สามารถเป็นไปได้ จากการเข้าสู่ระบบการศึกษา เข้าสู่มหาวิทยาลัย แล้วไต่เต้าในองค์กร เพราะเขารู้ว่า ซีอีโอ ในบริษัท มาจากชนชั้นอีหลีต ที่ไม่เป็นลูก ก็เป็นหลาน ของลูกท่านหลานเธอ นามสกุลดัง ที่เพิ่งกลับจากเมืองนอก ซึ่งกินเงินเดือนมากกว่า พนักงานเงินเดือนต่ำสุดของบริษัท 15-20 เท่า

โครงสร้างแบบเสรินิยมใหม่ แบบไทยๆ ที่เกิดขึ้นทำให้คนชั้นกลางในทางความคิด ซึ่งกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยไปแล้วนั้น ตระหนักได้ว่า ตัวไม่มีทางมี “ชีวิตที่ดี” ที่ตัวฝันถึงได้เลย หากทำมาหากิน ในระบบปรกติ ในระบบข้าราชการ ในระบบบริษัท

ดังนั้นเราจึงผลักชนชั้นกลางทางความคิดนี้ ให้ก้าวสู่ “การรวยทางลัด” ไม่ว่าจะเป็น แชร์ลูกโซ่, ธุรกิจการพนัน, คริปโต, เวปเถื่อน เรียกว่าสังคมไทยผลักชนชั้นกลางทางความคิด ให้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจสีเทา เพราะเขาไม่เห็นหนทางที่จะตามฝันในโลกสว่าง และตัวอย่าง เศรษฐี จากธุรกิจสีเทา ที่จ่ายส่วย ควงดารา ขับรถหรู ตั้งแต่ระดับนักการเมือง จนถึงอินฟลูเอนเซอร์ ในช่องทางออนไลน์พวกเขาตระหนักว่าหากรวยพอ ไม่ต้องถึงค้ายา ก็สามารถจ่ายส่วยให้รอดพ้นจากคุกตารางได้ และยังได้รับยอดไลค์ ยอดแชร์ จากการครอบครองเงินสด รถหรู

ช่องทางในการทำความฝันให้เป็นจริงนั้นล้วนไม่แน่นอน เพราะเงินในธุรกิจ แบบใหม่ นั้น “มาไว ไปไว” ผันแปรอยู่กับปัจจัยสารพัดที่ควบคุมไม่ได้ เมื่อควบคุมไม่ได้ ย่อมรู้สึกไม่มั่นคง จึงต้องแสวงหาความมั่นคง จากการทำนายอนาคต หรือครอบครองวัตถุ ที่รับประกันอนาคต (ความรวย) ไว้ให้มากที่สุด

ทั้งหมด กว่า 30 ปี นั้น พุทธศาสนาหายไปจากสังคมไทยโดยสิ้นเชิง หาพระที่จะนำคำอธิบายในพุทธประวัติหรือพระไตรปิฏก ออกมาอธิบายให้สอดคลองกับสภาพ สังคม-เศรษฐกิจ-วัฒนธรรม ที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีน้อยรูปมาก ในขณะที่ระดับพระเถระ ผู้ใหญ่มัวแต่ง่วนอยู่กับการประคับประคองให้ตัวได้เลื่อนสมณะศักดิ์ เป็นภารกิจหลักในชีวิต

หน้าที่หลักที่เป็นมาหลายสิบปี ที่ยังคงทำคือการ “ขายบุญ” ที่เพิ่มเติมคือกลายเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม นุ่งขาว ห่มขาว ให้กับชนชั้นกลางที่ “ว้าวุ่นในจิตใจ” ไปกวาดลานวัด ถ่ายรูปลงโซเชียล หรือปรากฏการณ์ พระวัดป่า ที่ยิ่งห่างไกลยิ่งศักสิทธิ์ ต้องขับรถส่วนตัวไปปฏิบัติธรรม ราวกับว่าป่าเขาและความห่างไกล (ความไกลที่เดินทางได้ด้วยรถยนต์ส่วนตัว) ยิ่งไกลเท่าไหร่ ยิ่งศักสิทธิ์ (แต่ไม่ไกลเกินสัญญาณ 3g)

ความอ่อนแอไร้ประสิทธิ์ภาพของพุทธศาสนา ที่จะให้คำอธิบายต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมนี้ เปิดช่องให้คำอธิบายอื่น ๆ ที่เข้ามาพอเหมาะกับการเติบโตของความฝันแบบชนชั้นกลางในเชิงปริมาณ..

Leave a Reply