วันที่ 20 กันยายน 2567 ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายพิชญะ ศูนยะคณิต น.ส.นัฐพร วงศ์ทวิชาติ พ่อและแม่ ของ ด.ช.ไนซ์ วัย 8 ขวบ นายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความกลุ่มเชื่อมจิต และ บุคคลที่เกี่ยวข้อง รวม 8 คน เดินทางเข้าพบคณะพนักงานสอบสวนบช.ก.เพื่อเข้าให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกในคดีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เข้าแจ้งความดำเนินคดีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ , พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร , พระราชบัญญัติควบคุมการขอทาน และประมวลกฎหมายรัษฎากร
ภายหลังเสร็จสิ้นการสอบปากคำ นายธรรมราช เองก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
โดย นายธรรมราช กล่าวว่า จากประเด็นข้อถกเถียงเกี่ยวกับคําสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีการกล่าวหาว่าลัทธิเชื่อมจิตไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก โดยทนายอนันชัยต์และกองทัพธรรมระบุว่าเป็นมติของมหาเถรสมาคม ซึ่งทั้ง 7 ข้อที่ระบุอยู่ในหนังสือดังกล่าวเป็นเพียงความคิดเห็นของทนายอนันชัยต์และกองทัพธรรมเท่านั้น โดยมติของมหาเถรสมาคมจริงๆ มีอยู่เพียง 3 ข้อ ท้ายสุด ระบุว่า “ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
1.รับทราบการดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมอบหมายให้ดำเนินการคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามหน้าที่และอำนาจให้เท่าทันต่อเหตุการณ์ เพื่อป้องกันระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนา
2.กรณีที่มีการกระทำใด ๆ ซึ่งอ้างถึงหลักธรรมหรือวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาแต่มิได้ปรากฏหลักคำสอนดังกล่าวในพระไตรปิฎก คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มติ อาณัติ และอรรถาธิบายของคณะสงฆ์ที่ชอบด้วยหลักพระพุทธศาสนา หากเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ และบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามพถติการณ์แห่งกรณี และ
3.กำชับเจ้าคณะ พระสังฆาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดให้หมั่นกวดขันตรวจตรา อธิบาย และชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจถึงหลักธรรมและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อป้องกันมีให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวอีกและให้ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม โดยคําว่ารับทราบไม่ได้หมายความว่ามีหรือไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก หากไม่เห็นด้วยเหตุใดจึงไม่บอกให้ชัดในการประชุมพิจารณามติ แต่อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการให้ชาวพุทธมาทะเลาะกันเองแบบนี้ อีกทั้งทางครอบครัวเชื่อมจิตก็หยุดแล้วแต่ฝั่งตรงข้ามยังไม่หยุด
นายธรรมราช ยังกล่าวถึง ผอ.สํานักพุทธฯ ด้วยว่า ย้อนกลับไปในปี 63 ภรรยาของ รอง ผอ.สํานักพุทธฯ เคยถูกดําเนินคดีในข้อหาเงินทอนวัด จึงตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงยังมานั่งเก้าอี้ รองผอ.สํานักพุทธฯ ได้ ทั้งที่ภรรยาที่อยู่กินมีความผิดเป็นที่ประจักษ์ ในส่วนของคดีตนเองวันนี้ได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเรียบร้อยแล้ว โดยให้การปฏิเสธ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดําเนินการ
ด้าน นายอนันต์ชัย กล่าวว่า วันนี้ตนและทีมอแวนเจอร์ได้มาติดตาม 3 เรื่อง คือ คดีลัทธิเชื่อมจิตทราบว่า ตำรวจ บก.ปอท. ได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับทำการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 8 คน เป็นข้อหาเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมฯ , พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก และ ฉ้อโกง ส่วนข้อหาอื่นๆที่ตนได้แจ้งความไปก่อนหน้านั้น ถูกรวมอยู่ใน 3 ข้อหานี้แล้ว
อีกกรณีที่ตนต้องมาในวันนี้ ก็เพื่อมาคอยสังเกตการณ์ว่า กลุ่มลัทธิเชื่อมจิตจะเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาตามนัดหรือไม่ เพราะก่อนหน้าทราบว่าเคยเลื่อนเข้าพบมาแล้ว รวมไปถึงอยากมาดูด้วยว่า การที่ทนายธรรมราช บอกว่าจะออกมาแฉกองทัพธรรมนั้นเป็นเรื่องอะไร หากมีการแฉออกนอกประเด็นลัทธิเชื่อมจิต ตนก็คงต้องฟ้องหมิ่นประมาทกลับ
“นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ในวันที่ 24 ก.ย. จะเดินทางไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนให้มีการตรวจสอบ พระอาจารย์ชาตรี ที่อ้างว่าอบรมวิปัสสนากรรมฐานตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 ให้แก่ชาวรัสเซีย และเป็นผู้สอนสมาธิให้กับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดี ประเทศรัสเซีย รวมไปถึงเรื่องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสีกา พร้อมกับเดินทางไปยื่นหนังสือกับสถานทูตรัฐเซียให้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย” นายอนันต์ชัย กล่าว
ภาพข่าว..ผู้จัดการออนไลน์
Leave a Reply