“มหานรินทร์” วิเคราะห์เปรียบเทียบปรากฎการณ์ “พระคึกฤทธิ์-พระต้น”

วันที่ 29 กันยายน 2567 มหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ. 9 อดีตแอดมินเพจ alittlebuddha เจ้าอาวาส วัดไทยลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้วิเคราะห์เปรียบเทียบ บทบาทของ ” พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล” เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และ “พระทวีวัฒน์ จารุวณฺโณ” หรือ “พระอาจารย์ต้น” ประธานสำนักศึกษาธรรมดอยธรรมนาวา อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ไว้ว่า “พระคึกฤทธิ์-พระต้น” คู่เหมือนแห่งยุค  คนหนึ่งไม่เอาอรรถกาบาลี อีกคนไม่เอาพระไตรปิฎก แต่ลีลาคล้ายกันยังกะพี่น้อง

พ.ศ.2557 พระคึกฤทธิ์ แห่งวัดนาป่าพง  เคยสังกัดคณะสงฆ์วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี …..ตอนหลังออกมาตั้งสำนักบนที่ดินของตนเอง ในจังหวัดปทุมธานี และได้เริ่มเผยแพร่คำสอน “พุทธวจน” สู่สาธารณชน โดยอ้างว่าคำสอนของตนนั้นบริสุทธิ์ เพราะคัดเฉพาะ “คำพูดของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า พุทธวจน” ล้วนๆ ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนอยู่เลย ไม่มีอรรถกถา ไม่มีฎีกา และไม่มีอัตตโนมติ ใครอยากเข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าตรงๆ ก็ต้องมาศึกษา..พุทธวจน

ซึ่งต่อมา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.9) ท่านได้เมตตาอธิบายว่า ความจริงแล้ว พระไตรปิฎกภาษาไทยทุกฉบับนั้น ได้รับการแปลจากคณะสังคีติการกสงฆ์ ในการทำสังคายนาครั้งก่อนๆ ซึ่งท่านได้แปลจากภาษาบาลีมาเป็นภาษาไทย “โดยใช้หนังสืออรรถกา-ฎีกา-อนุฎีกา” มาเป็นตัวช่วยแปลและให้ความหมาย ดังนั้น พระไตรปิฎกที่พระคึกฤทธิ์อ้างว่าเป็นพุทธวจนล้วน ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนอยู่เลยนั้น พระคึกฤทธิ์ก็เข้าใจผิด เพราะว่าพระไตรปิฎกภาษาไทยที่พระคึกฤทธิ์ใช้อยู่นั้น มีอรรถกถา-ฎีกา และอนุฎีกา ผสมอยู่ด้วย

“ถ้าจะให้บริสุทธิ์จริงๆ พระคึกฤทธิ์จะต้องแปลพระไตรปิฎกเอาเอง จากภาษาบาลี”

นี่จึงมีความหมายว่า คนบางคนอ้างว่าไม่เสียเวลาทำอาหาร และไม่ใส่ผงชูรส แต่ชอบกินบะหมี่มาม่ามากกว่า สำเร็จรูปเรียบร้อยดี ทั้งๆ ที่ในมาม่านั้น ทางผู้ผลิตเขาได้ใส่ผงชูรสในเครื่องปรุงไปเรียบร้อยแล้ว กินผงชูรสทุกวันยังไม่รู้ว่าเป็นชูรส แถมยังอวดรสอวดชาติอีกว่า อาหย่อย

พอเกิดกระแสต่อต้านว่าด้วยการ “ตัดลดพระปาติโมกข์ จาก 227 ข้อ ลงมาเหลือเพียง 150 ข้อ” ก็เกิดความกลัวว่าจะเหมือน โพธิรักษ์ จึงวิ่งเข้าวัดปากน้ำ ถวายสักการะสมเด็จช่วง แล้วให้ลูกศิษย์ถ่ายรูปเก็บไว้ พอกลับมาถึงวัดก็ประกาศ “สมเด็จช่วงท่านเมตตาสนับสนุนให้เผยแพร่ลัทธิพุทธวจนได้ ไม่ผิดพระธรรมวินัย”

ภาพที่พระคึกฤทธิ์เข้ากราบสมเด็จช่วงดังกล่าว กลายเป็นยันต์กันผีชั้นดี ที่บรรดาพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ “พูดไม่ออก” ดังสำนวนไทยโบราณว่า “อยู่กับสังฆราช ย่อมไม่กลัวเณรน้อย”

มาถึง พ.ศ.นี้ ก็มีพระเอกขี่นาวามาอีกแล้ว เขาชื่อ “พระต้น-ทวีวัฒน์” ประวัติโชกโชนมาก ทั้งบวชทั้งสึกและบวชใหม่ แต่ยังไม่ครบ 3 โบสถ์ ได้ประกาศลัทธิ “ธรรมนาวา” ประกาศต่อต้านวัฒนธรรมไทยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มีมาแต่โบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกราบไหว้พระพุทธรูป การทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล หรือแม้กระทั่งการสวดมนต์-นั่งสมาธิ ก็ถูกลัทธินี้ต่อต้าน อีกด้านหนึ่งก็ขายโครงการ “สร้างคนเป็นพระโสดาบันด์” ผ่านการพยากรณ์ของพระต้นและสาวกใกล้ชิด ว่ากันว่ามีการให้ใบประกาศ “โสดาบันด์” แก่สาวกไปหลายคน….

พอเกิดปัญหาว่าด้วย “ความบกพร่องในคำสอน” ทั้งที่สอนด้วยวาจาและเขียนในหนังสือธรรมนาวาวังทั้ง 4 เล่ม พระต้นก็ใช้อุบายเดียวกับคึกฤทธิ์ คือวิ่งไปกราบสมเด็จพระสังฆราช โดยหมายจะเอาภาพการเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราชมาเป็นยันต์กันผีเหมือนรุ่นพี่คึกฤทธิ์เคยทำ

แต่ทางสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชนั้นไหวทัน จึงไม่ยอมให้ถ่ายภาพ แต่ได้อัดเสียงไว้ทั้งหมด และก็ปรากฏว่าเป็นไปตามคาด พอออกจากตำหนักสมเด็จพระสังฆราชมาแล้ว พระต้นก็โพสต์เฟสบุ๊ค แปลงสารจากโอวาทสมเด็จพระสังฆราชหลายสิบประโยค เหลือเพียงถ้อยความสั้นๆ ว่า
“วันนี้ เข้ารับโอวาทจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ทรงมีรับสั่งว่า สอนเรื่องพระรัตนตรัยและอริยสัจสี่นั้นถูกต้องแล้ว สอนต่อไปได้เลย อย่าเอาเกจิเข้ามาแทรกนะ เกจิทำให้ศาสนาเสียหาย ถ้าเอาเกจิเข้ามาแทรกอย่าทำเด็ดขาด พระรัตนตรัยเป็นหลักของศาสนา อริยสัจคือหัวใจศาสนา ถ้าสอนเรื่องนี้ให้สอนเต็มที่เลย ทำเลย”

พอสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชได้อ่านเฟสบุ๊คของพระต้น ก็ถึงกับช็อก นึกไม่ถึงว่าพระต้นจะบังอาจถึงขนาด “เข้ามาจับเอาพระดำรัสสมเด็จพระสังฆราชไปแปลงสารเข้าข้างตัวเอง” สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จึงได้ทำการ “ถอดเทป” จากพระดำรัสสมเด็จพระสังฆราชลงเป็นตัวหนังสือ แล้วเผยแพร่ออกไปในสาธารณชน ซึ่งเมื่อใครได้อ่านก็จะทราบว่า เป็นคนละเรื่องกับที่พระต้นเอาไปดัดแปลงเป็นของตนเอง พระดำรัสทั้งหมดนั้น ถ้าพิจารณาดูก็จะเห็นว่า เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชนั้น ทรงมีน้ำพระทัยเปี่ยมด้วยพระเมตตา และทรงมีพระชนมายุยืนยาวร่วม 100 ปี ย่อมจะทรงมีพระวาจาประกอบด้วยเมตตา แต่กับพระต้นนั้น ทรงมีพระวาจาเด็ดขาด แบบนี้ไม่เอา และต้องเอาแบบนี้ ทรงชี้ให้เดินอย่างชัดเจน ก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นกัน ว่าจะทรงมีพระโอวาทเข้มและแรงกับพระต้น

เมื่อพระต้นได้รับพระโอวาทมาแล้ว ถึงวัดราชบพิธจะไม่ให้ถ่ายรูป แต่ตัวเองก็มีรูปเก่าที่เคยถ่ายเก็บไว้ในคราวเข้าเฝ้าครั้งก่อน จึงนอกจะแปลงสารพระโอวาทสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ก็ยังนำเอาภาพเก่ามาเติมเสริมให้เต็ม โดยบอกว่า “วันนี้ เข้ารับโอวาทจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ฯลฯ” คนทั่วไปได้อ่านก็เข้าใจว่า วันนี้ของพระต้น ก็คือวันที่ 12 กันยายน 2567 แต่ความจริงแล้ว ภาพที่พระต้นนำมาโชว์นั้น เป็นภาพเก่า

นี่ก็เป็นกลอุบายของพระคึกฤทธิ์เคยเข้าพบสมเด็จช่วงมาอย่างไร พระต้นก็พยายามเข้าหากับทางสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชอย่างนั้น แต่โชคดี พระบารมีของสมเด็จพระสังฆราชนั้นสูงส่ง กลอุบายของพระต้นจึงล้มเหลว..

 

หมายเหตุ..ขออนุญาตตัดเนื้อความบางตอนออก

Leave a Reply