“ผู้เขียน” เป็นศิษย์วัดไร่ขิง “นอกแถว” ตั้งแต่ยุค “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์” หรือ หลวงพ่อปัญญา อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง เจ้าคณะภาค 14  และผู้สร้างโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ เนื่องจาก “บวชเรียน” ในจังหวัดกาญจนบุรี ทุกปีก่อนสอบบาลีต้องไป “อบรมก่อนสอบ” วัดไร่ขิง

ยุคนั้น “อดีตเจ้าคุณแย้ม” เป็นเลขานุการเจ้าอาวาสเป็น “มือขวา” คนทำงานให้หลวงพ่อทุกเรื่องราว ทั้งที่พัก อาหารการฉัน ทุกเช้ามืดหลวงพ่อปัญญาจะปลุกพวกเราด้วย “เสียงพูด” ผ่านเครื่องเสียง ท่านบรรยายดังทั่วบริเวณวัด มีเด็กนักเรียนจากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ทั้งชายและหญิงมาคอย “เสิร์ฟอาหาร” ให้พวกเราทุกเช้าและเพล

“ผู้เขียน” พบกับ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” เจอกันผ่านงานหลายงานแต่ไม่เคยเข้าไปคุยหรือเข้าไปกราบท่าน เพราะท่านเป็น “คนหน้านิ่ง” สไตร์แบบนี้ ผู้เขียนไม่ชอบ

แต่ 2 -3 ปีมานี้ “ผู้เขียน” ได้รับคำชวนจาก “พระเทพปวรเมธี” รองอธิการบดี มจร ให้ไปร่วมงาน โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ที่ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” เป็นประธานคณะกรรมการกลาง ต้องดูแลโครงการนี้ทั่วประเทศ จึงมีโอกาสพบ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” ในบางโอกาสและจึงได้เข้าไปกราบท่าน แต่ก็ไม่ได้คุยอะไร เพราะท่านเป็นคน “พูดน้อย” แต่หลายคนบอกว่าโครงการหมู่บ้านศีล 5 หากไม่ได้ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” ลำบาก เพราะมองว่า “วัดไร่ขิง” มีเงินมาก สนับสนุนโครงการนี้ได้เยอะ

ซ้ำ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” เป็นคน “ใจใหญ่” เพื่อกิจการพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ ท่านเต็มที่

เมื่อปีที่ผ่านมา “ผู้เขียน” พอรับทราบข่าวคราวเรื่องราวของ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” โดยบังเอิญ เนื่องจาก “เขียนข่าว” ถึง “พระภิกษุ” รูปหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดใกล้เคียงว่า “ติดหนี้” ก้อนโต  ช่วงนั่นมี “พระ-คฤหัสถ์” โทรมาเล่าเป็นจำนวนมาก

สอบถาม “ข้อมูล” หลายท่านก็พูดทำนองแบบ “เขาเล่า” ว่า ท่านเล่นการพนัน โดยผ่าน “หญิงคนหนึ่ง”  ตอนหลังใช้เงินวัดไปเยอะ กรรมการวัดไม่ให้ จึงหันยืมเงินจากวัดใหญ่ ๆ หลายวัด

แต่หลายท่านก็บอกว่า “อดีตเจ้าคุณแย้ม” กรรมการวัดถวายเงินวัดให้ใช้อยู่แล้วปีละ 10 ล้าน ท่านคงไม่เล่นการพนัน และตัวท่านเองก็ตักเตือนศิษย์ใกล้ชิดอยู่เนือง ๆ  ห้ามยุ่งกับ “อบายมุข” เหล่านี้

เมื่อ “หลักฐานไม่มี” ผู้เขียน จึงไม่ได้สืบสานหาข้อมูลต่อ

ล่าสุด!! เห็นข่าวท่านมอบตัวและสึกออกไป จึงได้แต่ “ปลงใจ” และ “ทำใจ” กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ลึก ๆ จริงเท็จไม่ทราบได้ “ผู้เขียน” ยังเชื่อว่า ท่านไม่เล่นการพนัน แต่อาจถูก “สตรี” ที่สนิทกันมานานกุม “ภาพลับ” อะไรไว้สักอย่างที่ท่าน ต้องจำใจ “โอนเงิน” ให้

พระระดับนี้ คงไม่โง่โอนเงินให้ยืมครั้งละ 40 ล้านบาท นอกจาก “จำใจ” 

“ผู้เขียน” เล่าเรื่องความเป็น “เพศฆราวาส” ให้พระหนุ่ม พระแก่ เณรน้อยฟังว่า โลกปัจจุบัน “ภัยรอบตัว” ของการครองสมณเพศเรามีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจาก “มือถือ” จากโซเซียล ว่าด้วยเรื่อง “สตรี” พระภิกษุสามเณรส่วนมาก “ปกปิด” ความต้องการตัวเอง บางรูปมีที่ระบายได้ก็คือ “ห้องน้ำ” ด้วยการไป “ซักผ้า” ซึ่งก็ต้องอาบัติ “สังฆาธิเสส”  แต่บางรูป “หนัก” เพราะไปเล่นกับไฟ คือ “หาคู่แชท” หรือ “คุยกับสตรี”

สตรียุคนี้..ไม่ว่าจะมีสามี เป็นสาว หรือเป็นหม้าย หลายคน “ตีสนิท” เข้ามาตีสนิทกับพระสงฆ์ในรูปแบบต่าง ๆ  บางคน มิใช่ต้องการ “บุญ” อย่างเดียวเท่านั้น พวกเธอหลายคน ต้องการที่พึ่ง “เรื่องเงิน” เลี้ยงเธอและครอบครัวเธอด้วย

วิธีการของสตรี หรือ  “สตรีออนไลน์” เหล่านี้ คือ เข้าตีสนิท แล้วแลกเบอร์ แลกไลน์ คุย “เรื่องบนเตียง” พอเห็นพระรับลูกต่อ ก็ชวนคุย “เสียว” เก็บคลิป เก็บภาพโป๊ ของ “เหยื่อ” แล้ว “ตบทรัพย์- กรรโชกทรัพย์”

หากไม่ให้ก็ขู่ไปต่าง ๆ นานา ๆ   ยุคนี้ มีนักธุรกิจ ข้าราชการ พระภิกษุสงฆ์ คน “อารมณ์เปลี่ยว” หลายราย หลายรูป เพื่อรักษา “ชื่อเสียง”  ไว้ ต้องตกเป็น “ตู้ATM” เคลื่อนที่ของคนกลุ่มนี้

“ผู้เขียน” เองเคยเข้าไปแชท เคยเข้าไปคุย สตรีแบบนี้ ภาพหญิงหน้าตาดี ชวนเล่นการพนัน แถมชักอารมณ์“คุยเสียว” เป็นของแถม..

แต่เป็นคนโชคดี “ไม่มักมาก” ในกาม เพราะ คิดว่ามีครอบครัวที่ น่ารัก อบอุ่นอยู่แล้ว..

เรื่องนี้ชาวพุทธอาจแย้งว่า “พระดี” อาจไม่เกิดเหตุการณ์แบบ “อดีตเจ้าคุณแย้ม” ขึ้น ความจริงเรื่องแบบนี้ เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน หรือแม้กระทั้งใน อนาคต

“ผู้เขียน”  ขอชาวพุทธต้องเข้าใจว่าพระภิกษุสงฆ์เราคือ “ปุถุชน” มีรัก มีโกรธ มีหลง และมีความ “อยาก” เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป เพียงแต่ ท่านเข้ามาบวชเพื่อ “บรรเทา” สิ่งเหล่านั้น ใครสู้กับ “กิเลส” เหล่านี้ไม่ได้ก็..แพ้ภัยตัวเองไป

ความผิดพลาด เป็นธรรมชาติของปุถุชนเกิดขึ้นได้กับทุกรูป ไม่ว่าจะเป็นพระบวชใหม่หรือพระภิกษุแก่พรรษามี สมณศักดิ์สูง

“ผู้เขียน” จึงฝากเตือน “คณะสงฆ์”  โดยเฉพาะบรรดา “พระสังฆาธิการ” ที่มีชื่อเสียง  มีสมณศักดิ์  วัดที่มีรายได้ดี พึงระวังภัยจาก “มือถือ” ภัยจากโซเซียล และภัยจาก “สตรี”  ประเภทดังกล่าวให้ดี..