“เจ้าคุณหรรษา” แนะชาวพุทธถอดบทเรียน จากการโต้ตอบ “คนตื่นธรรม -หมอดูไพ่ยิบซี”

วันที่ 8 ตุลาคม 2567 พระเมธีวัชรบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณหรรษา”  ผอ.วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้กล่าวถึงกระแสของ “คนตื่นธรรม” ที่ไปออกรายการทางโทรทัศน์แล้วไปโต้ตอบกับหมอดูไพ่ยิบซี จนเกิดการพาดพิงถึง “พระบรมศาสนา” ในพระพุทธศาสนาว่า

พระพุทธเจ้าบอกให้ตอบ สาวกเผลอไปโต้  คำย้อนกลับกองโต จึงไปโผล่ที่ศาสดา  ในหลาย ๆ ประเด็น ส่วนตัวต้องยอมรับว่า คนตื่นธรรมนำคนมาสนใจธรรมะออนไลน์ ถูกจริตกลุ่มคนที่ชื่นชอบภาษาพ่อขุน สื่อธรรมจี้หัวใจ ไม่ไว้หน้าคนและกิเลส เป็นเหตุแห่งการขยี้กิเลสแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีพิธีรีตรองให้มากความ กระหน่ำเป็นชุด ยิงสลุดไม่หยุดยั้ง จนหลายคนหัวคะมำเพราะการนำเสนอ

แนวทางการนำเสนอธรรมะแบบถึงลูกถึงคนดังกล่าวหลายครั้งที่พาดพิงบุคคลอื่นบ้าง แต่ด้วยเหตุแห่งที่นำประเด็นที่ผู้ฟังถามแล้วพูดแบบออนไลน์ทางเดียว จึงไม่มีประเด็นให้ต้องกระตุ้น หรือเร่งเร้าให้บุคคลอื่นสะท้อนกลับอารมณ์และความรู้สึก (Reflection)

และแล้ว สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อรายการโหนกระแสที่ทุกคนก็ทราบที่มาและเจตนารมณ์ของรายการนี้ดีว่า เมื่อมาออกรายการแล้ว มีทั้งร้าย ทั้งตาย และทั้งดี เพราะมีการขยี้ และเปิดหน้าซดกันบนเวทีตามที่เจ้าของรายการได้ออกแบบเอาไว้

เมื่อคนตื่นธรรมที่มักจะสื่อคนผ่านธรรมออนไลน์ด้านเดียวด้วยลีลาดุเด็ดเผ็ดมันส์ด้วยภาษาพ่อขุนที่เจ้าตัวบอกย้ำถึงเจตนาที่ดี ต้องมาเผชิญหน้ากับคู่กรณีที่คนตื่นธรรมมักจะยกมาเป็นประเด็นนำเสนอบ่อยๆ แล้วยามออกรายการก็ขยี้สายมูเตลูอีกรอบ ความมันจากการโต้ของคู่กรณีจึงบังเกิดขึ้น ด้วยอารมณ์และความรู้สึกภายในว่า กำลังมีคนดูอาชีพ และศักดิ์ศรี ในที่สุด พระพุทธเจ้าจึงกลายเป็นหมู่บ้านกระสุนหินตกในที่สุด

พอแม่หมอดูโกรธและหงุดหงิดขึ้นมา จึงขยี้ทั้งคนตื่นธรรม และถลำลึงรวมไปถึงเบื้องหลังของความชอบธรรมทั้งหมดที่คนตื่นได้ชอบนำมาอ้างอิง คือ พระพุทธเจ้า

การที่หมอดูบอกว่า “บางอย่างที่พระพุทธเจ้าพูดก็อาจจะพิสูจน์ไม่ได้… ฉันว่าคุณก็กำลังงมงายในศาสนาของคุณว่าพระพุทธเจ้าพูดอะไรถูกหมด จริงหมด ใช่หมด” เป็นที่ชัดเจนว่าคำพูดเช่นนี้ ก็คือการโต้คนตื่นธรรมที่แสดงออกทางคำพูดที่มีต่อหมอดูในขณะพัลวันพันตู นัวเนียกันอย่างเมามัน โดยมีพิธีกำลังคอยกระตุ้นเป็นระยะ จะโดยเจตนาอย่างไรผู้ฟังสามารถประเมินได้

การโต้กันบนเวทีจึงกลายเป็นสะเก็ดระเบิดที่มิได้เกิดบนเวทีเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นเศษเล็กเศษใหญ่ร่อนไปทั่วสังคมไทย คราวนี้ รถทัวร์จึงไปหน้าบ้านหมอดู รวมถึงกระสุนจึงปลิวว่อนจากทิศทั้งแปดไปตกในบ้านและห้องนอนหมอดูอย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่รอดตายและได้รับความดีความชอบคือคนตื่นธรรมที่กระหน่ำหมอดูแบบกระจุยกระจายจนแทบสลายกลายเป็นเศษธุลี

ประเด็นที่อยากจะถอดบทเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนให้ปัญญาชนสายพุทธได้ครุ่นคิด และออกแบบแนวทางการนำเสนอในเหตุการณ์ครั้งนี้

1: เหตุการณ์ครั้งนี้ จะไม่มีอะไรมาก ถ้าคนตื่นธรรมนำเสนอแบบออนไลน์ ไม่มีขึ้นเวทีเพื่อขึ้นมาตอบโต้และแลกหมัดกันอย่างเมามัน ทั้งแม่หมอมีตัวช่วยอะไรที่สามารถนำมาใช้ได้ก็เขวี้ยง และทุบกันอย่างสุดกำลัง

2: หลักธรรมที่คนตื่นธรรมนำเสนอนั้น สอดรับกับพุทธประสงค์แน่นอน ดังที่พระองค์ตรัสมาตลอดว่า ความพร้อมเป็นฤกษ์อันประเสริญ ดวงดาวจะทำอะไรได้ (อัตโถ อัตถัสสะ นักขัตตัง กึ ตารา น กริสสันติ) สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ พระพุทธเจ้าก็เตือนเหล่าสาวกให้ระวังการสื่อสารตามหลักวาจาสุภาษิตเช่นกัน ในการนำเสนอความจริง ต้องไพเราะ เหมาะกาล สานสามัคคี มีประโยชน์ ประกอบด้วยเมตตา

3: เมื่อคนตื่นธรรมขยี้อาขีพแม่หมอได้ แล้วเพราะเหตุใด?? แม่หมอจะขยี้คนตื่นธรรมคืนไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่เบื้องหลัง คือ พระพุทธเจ้าที่คนตื่นธรรมนำมา Backup การนำเสนอเพื่อขยี้อาชีพแม่หมออยู่ตลอดเวลา

4: ในอีกด้านต้องยอมรับว่า ใจแม่หมอคุกกรุ่นด้วยความโกรธที่สาวกของพระพุทธเจ้ากระหน่ำกลางใจ จึงอดไม่ได้ที่จะสวนกลับ จะด้วยเจตนาที่ต้องการจะฟาดกลับ หรือไม่เชื่อในพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่นั่นก็กลายสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของพุทธศาสนิกชนที่ยอมรับไม่ได้ต่อท่าทีของแม่หมอ ทั้งคนที่ไม่ชอบหมอดูที่ขัดกับหลักพุทธ กับคนที่เฉยๆ กับอาชีพหมอดู แต่พอแม่หมอพูดแบบนี้ จึงทำให้กลายเป็นหมู่บ้านกระสุนตกทันที

5: ยามแม่หมอได้สติ คงกลับมาคิดว่า แม่ไม่น่าเลยจริงๆ เป็นเพราะความโกรธแท้ๆ จึงทำให้มืดหน้าตาดำ มือคลำหาทาง เห็นช้างเท่าหมู เห็นประตูเป็นบันได จากนี้ไป ถ้าแม่หมออยากจะรู้ว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบนั้นจริงหรือไม่ ก็ขอให้นำไปพิสูจน์ผ่านการปฏิบัติ แล้วจะรู้จริงหรือไม่ แต่อย่างน้อย คราวนี้แม่หมอก็ได้พิสูจน์ธรรมะหนึ่งข้อไปแล้วด้วยพุทธพจน์ที่ว่า ฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข (โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ) แต่ถ้าฆ่าความโกรธไม่ได้ ความโกรธจึงฆ่าแม่หมอดังที่เห็นเป็นที่ประจักษ์

6: ผู้คนที่บอกว่า ตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชน ต้องกลับมาโมโหโกรธา และกระฟัดกระเฟี้ยด โกรธแม่หมอจนคีย์บอร์ดร้อนฉ่าทั่วทั้งธานี กลายเป็นว่า แม่หมอโกรธคนตื่นธรรม ผู้คนที่ฟังก็กระหน่ำแม่หมอเพิ่มเติมต่อไปอีก ที่พาดพิงพระพุทธเจ้าด้วยความโกรธ

7: แม่หมอได้นำเอาหลักกาลามสูตรมาเตือนพุทธศาสนิกชนว่า อย่าเพิ่งปลงใจเชื่อ เพียงเพราะว่าเป็นครูของเรา หรือถือกันตามคัมภีร์ เป็นต้น จนกว่าจะพิสูจน์ธรรมจนประจักษ์แจ้ง แล้วค่อยเชื่อ ฉะนั้น การที่แม่หมอบอกว่า บางอย่างที่พระพุทธเจ้าพูดอาจจะพิสูจน์ไม่ได้… นั้น ถ้าพุทธศาสนิกชน หรือแม่หมออยากจะรู้ว่า ธรรมจริงที่พุทธองค์นำเสนอผ่านประสบการณ์จริงเป็นอย่างไร ก็พาพิสูจน์ธรรมผ่านการลงมือปฏิบัติให้ชัดแจ้ง

8: ตามหลักพรหมชาลสูตรนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสเตือนไว้แล้วว่า ให้ตอบแต่อย่าโต้ เพราะคำโก้ๆ ที่ประดิษฐ์ประดอยออกมาโต้รังแต่จะทำโมโหโกรธา มากกว่าจะเกิดปัญญาหาทางออกที่เหมาะสม แทนที่จะนั่งฟังเพื่อจะได้เข้าใจเจตนารมณ์ของเขาแล้ว ค่อยๆ อธิบายว่าพุทธองค์จำแนกแจกแจงอะไรเอาไว้บ้าง เพื่อเปิดทางโอบอุ้มเขาขึ้นมา แทนที่จะกดเขาให้ต่ำลงไปอีก

จึงถือโอกาสนี้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยมิได้มุ่งประสงค์จะกดทับ และลดทอนคุณค่าของผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น ส่วนตัวแล้ว ใครจะเชื่ออะไร จะชอบอะไร จะถือสายไหน จะผี พราหมณ์ และมูเตลูทั้งหลายอะไรก็ตาม ก็เป็นบุญธรรมกรรมสร้างของแต่ละท่าน และสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 25 คุ้มครองไว้ แต่ก็ไม่ควรมีใครหรือผู้ใด อาศัยเหตุแห่งความเชื่อแตกต่างมาลดทอนคุณค่าด้วยเหตุแห่งอารมณ์และความรู้สึกของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก เพราะการเกิดก็ทุกข์พออยู่แล้ว อย่าไปกระทำการณ์อะไรให้เราต้องทุกข์ทรมานมากกว่านี้อีกเลย

Leave a Reply