วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ณ อาคารรัฐสภา พระมหาวัฒนา ปญฺญาทีโป ป.ธ.9 พร้อมด้วย นายแทนคุณ จิตอิสระ และคณะ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฏร เรื่อง ขอเสนอแนวทางในการพัฒนาพระพุทธศาสนาให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๗ ซึ่งมีทั้งหมด 8 ประการด้วยกัน ทั้งเรื่องขอให้ปรับการปฏิรูปโครงสร้างปกครองสงฆ์ใหม่ให้เอื้อต่อการพัฒนา ,การรับรองการบวชพระภิกษุณี,คุณสมบัติเจ้าอาวาส,การควบคุมพุทธพาณิชย์วัตถุมงคล เป็นต้น ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
กราบเรียน ท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา เนื่องด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ ของประเทศไทย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี ๒๔๗๕ เป็นกฎหมายสูงสุดที่มีการประกาศใช้ปกครองประเทศมาตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๐ นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บรรจุถ้อยคำ “พระพุทธศาสนาเถรวาท” ปรากฏอยู่ในหมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๖๗ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย”ปัญหาหลักที่เกิดกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจำแนกได้สองประการ ประการแรกคือผู้ขอบวชเป็นภิกษุไม่มีความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนาและไม่มีอัธยาศัยในการครองสมณเพศ วัดไม่มีการคัดกรองคุณสมบัติผู้ขอบวชเป็นภิกษุอย่างถูกต้องและเหมาะสม เมื่อได้บวชเป็นภิกษุแล้วก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของภิกษุอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาพระธรรม (คันถธุระ) และการอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาธุระ) รวมถึงมีการล่วงละเมิดสิกขาบทในพระวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ๒๒๗ ข้อ ไม่มีภูมิธรรมในการเผยแผ่ความรู้ทางพระพุทธศาสนาแก่อุบาสกและอุบาสิกาได้อย่างถูกต้อง ประการที่สองคือ อุบาสกและอุบาสิกาซึ่งเป็นผู้ครองเรือนอยู่ในเพศคฤหัสถ์ มีการนับถือพระพุทธศาสนาที่ประพฤติปฏิบัติตามบรรพบุรุษ หรือบิดา มารดาอย่างผิดๆ ไม่มีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมอย่างถูกต้อง จึงเป็นคนเชื่อง่าย ตื่นมงคลในสิ่งที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ งมงายในไสยศาสตร์อย่างไม่มีเหตุผล จึงเป็นผู้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ไม่มีพระรัตนตรัยอันมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทำบุญด้วยความโลภ เชื่อในเดรัจฉานกถา และเดรัจฉานวิชา ยึดถือในวัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม โดยเข้าสู่พิธีกรรมสะเดาะเคราะห์หรือตัดกรรม ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ทั้งสิ้ ด้วยเหตุปัจจัยจึงส่งผลต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ปัญหาหลายประการเกิดขึ้นมีความซับซ้อน และไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาอย่างทันการณ์ อันเนื่องมาจาก ข้อกฎหมายพรบ.สงฆ์ ทางชมรมฯ จึงได้ร่วมกับพระมหาวัฒนา ปัญญาทีโป,ดร.และคณะ จึงขอยื่นเสนอให้มีการแก้ไข ปรับปรุง เพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ในประเด็นสำคัญ ดังนี้


Leave a Reply