ส่องบทบาท “เจ้าคุณต้น” พระราชาคณะใหม่ล่าสุด!!

หลังจากเมื่อวานนี้ “พระครูต้น” พระครูภัทรธรรมโฆสิต ได้รับโปรดเกล้าสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะแบบฉายเดี่ยวที่ “พระวชิรธรรมโฆสิต” เป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจให้กับชาว “ระฆัง8” ซึ่งเป็น “กลุ่มศิษยานุศิษย์” และผู้ใกล้ชิดของ “เจ้าคุณต้น” เป็นอย่างมาก

“ผู้เขียน”  กับ “เจ้าคุณต้น”  รู้จักกันโดยผ่าน “ปลัดเก่ง” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ชื่อว่า “ชาวพุทธต้นแบบ”  ผลงานที่ผ่านมาทั้งของเจ้าคุณต้นและปลัดเก่ง ผู้เขียนคิดว่า “จุดยืน” ของเราคล้ายคลึงกัน อย่างน้อย 3 ประการ คือ หนึ่ง มีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา สอง มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และ สาม ชอบช่วยเหลือ เกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ด้วยเหตุผล 3 ประการนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่าทั้ง 2 ท่าน คือ กัลยาณมิตรทางอุดมการณ์ 

เมื่อปีที่แล้วผู้เขียนเคยลง “บ้านเกิด” ของ พระวชิรธรรมโฆษิต ณ บ้านวังงิ้ว อ.ดงเจริญ จ.พิจิตร  เพื่อให้เห็นความจริง ดังคำร่ำลือที่ว่า “เจ้าคุณต้น” เป็น “พระภิกษุ” ตัวยงในการมี “จิตสำนึกรักบ้านเกิด” และมีความกตัญญูกตเวทีต่อ “ถิ่นอยู่อาศัย” ด้วยการเชิญ ชวน เชื่อม คนจากเมืองกรุงไปพัฒนาและเกื้อกูลบ้านเกิดท่าน

สมดังคำที่ว่า “ดื่มน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนขุดบ่อ”

อันดับแรกผู้เขียนไปดูแปลง โคก หนอง นา ที่ “เจ้าคุณต้น”  ซื้อที่ดินไว้เพื่อเป็นศูนย์รวมในการทำกิจกรรมของหมู่บ้าน เป็น “จุดศูนย์รวม” ในการสร้างความสามัคคีของชุมชน และเป็น “ต้นเกล้า” เพาะพันธุ์สำหรับผักปลอดสารพิษ

นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ไปชมโรงเรียนวังงิ้วพิทยาคมที่ “เจ้าคุณต้น” เคยเรียน ซึ่งท่านไปสร้าง “ร้านกาแฟ” เพื่อให้นักเรียนฝึกอาชีพ มีรายได้ พร้อมทั้งเรือน สหกรณ์ ของโรงเรียน ด้วย เจอ “เจ้าหน้าที่” ของโรงเรียนบอกว่า “เจ้าคุณต้น” นอกจากสร้างร้านกาแฟ พร้อมอุปกรณ์ มอบให้โรงเรียนแล้ว ท่านยังเมตตามอบ “ทุนการศึกษาฟรี” ให้นักเรียนจำนวน 10 ทุน ส่งเรียนจนจบปริญญาตรีด้วย

นอกจากนี้ที่ รพ.สต.ตำบลวังงิ้วใต้ “เจ้าคุณต้น” ก็ปรับปรุงอาคารทำเป็นห้อง “ทันตกรรม” มีหมอประจำ พร้อมอุปกรณ์ทันตกรรมด้วยเช่นกัน

แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ “อุโบสถ” วัดที่เจ้าคุณต้นเคยบวชเรียน เคยอยู่ ท่านสร้างอุโบสถไว้สวยงาม เท่าที่ทราบสิ้นงบประมาณไปประมาณ 30 ล้านบาท ความจริง “เจ้าคุณต้น” หรือ พระวชิรธรรมโฆษิต สร้างไว้กับ “บ้านเกิด” ของท่าน มีมากกว่านี้ทั้งเรื่อง สร้างบ้านให้กับผู้ยากไร้ ช่วยเหลือศูนย์ผู้สูงอายุ ให้ทุนการศึกษาเด็กโรงเรียนใกล้เคียงอื่น ๆ

นอกจากนี้ “ผลงาน” ของเจ้าคุณต้น ยังมีอีกมากทั้ง “ทำวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง” ที่วัดปฐมวนาราม จ.ปทุมธานี  ตอนนี้พัฒนาไปแล้วมีมูลค่านับร้อยล้านบาท  หรือแม้กระทั้งนำที่ดินวัดระฆัง ฯ จังหวัดนครนายกจำนวน 150 ไร่ ให้กระทรวงมหาดไทยทำเป็น “ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต ตามแนวทางพุทธอารยเกษตร สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน” อันนี้ยังไม่นับ “เจ้าคุณต้น” ไปสร้างวัดที่ประเทศญี่ปุ่นอีกต่างหาก

“พระพรหมบัณฑิต” กรรมการมหาเถรสมาคม เคยกล่าวเอาไว้ในคราวรัฐบาลและมหาเถรสมาคม ร่วมกัน จัดทำแผนการปฎิรูปกิจการพระพุทธศาสนาว่า เป้าหมายหลักในการปฎิรูปกิจการพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ ก็คือ ต้องให้วัดและพระสงฆ์เป็นที่พึ่งของชุมชน และดึงบทบาทวัดให้กลับมาเป็นศูนย์กลางชุมชนหมู่บ้านให้ได้!!

ซึ่งหากเราย้อนกลับไปมองบทบาทพระสงฆ์กับสังคมไทยในอดีต พระสงฆ์โดยเฉพาะเจ้าอาวาส คือ แกนนำของหมู่บ้าน ชุมชนอย่างแท้จริง  อย่างน้อยท่านทำหน้าที่ 3 ประการ คือ หนึ่ง เป็นศูนย์กลางของหมู่บ้านทั้งเรื่องขจัดความขัดแย้ง การให้การศึกษา การช่วยเหลือชุมชน สอง เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างภาครัฐและชาวบ้าน และ สาม เป็นแกนนำหลักในการพัฒนาหมู่บ้านทั้งเรื่องถนน สะพาน ไฟฟ้า รวมทั้งสาธารณูปภาคต่าง ๆ

ปัจจุบันคณะสงฆ์พยายามทวงความเป็น “สังฆสรณะ” คือ พระเป็นที่พึ่งของประชาชน ซึ่งมีพระหลายรูป หลายจังหวัด ดำเนินการอยู่  ส่วนจะได้มากน้อยแค่ไหน ก็อยู่ที่มหาเถรสมาคม ในฐานะคณะรัฐมนตรีพระ  และคณะสงฆ์ผู้ปฎิบัติ ตามว่าจะสนองได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งชาวพุทธว่าจะมองเห็นคุณค่าตรงนี้หรือไม่!!

แต่ในส่วนของ “เจ้าคุณต้น” หรือ พระวชิรธรรมโฆษิต ด้วยบทบาทตามที่เล่ามาบางส่วน จากการลงพื้นที่ของผู้เขียนที่ไปพิสูจน์เอง จะเห็นว่าท่านสนองงานกิจการคณะสงฆ์ตามพันธกิจทั้ง 6 ประการอย่างเต็มที่ อันภิกษุรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนาอันพึงกระทำได้

และต่อจากนี้ในฐานะเป็น “พระราชาคณะ” ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล “วชิระ” ถือว่าเป็น พระของพระราชาในองค์รัชกาลที่ 10  นอกจากจะต้องระมัดระวังในการครองตน ครองงาน ครองคน ตามพระวินัย กฎหมายบ้าน และจารีตประเพณีแล้ว

“เจ้าคุณต้น” คงจะต้องสนองงานคุณของพระศาสนา ประเทศชาติ ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับประชาชน ต่างพระเนตร พระกรรณ อย่างเต็มที่!!

Leave a Reply