วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ระหว่างวันที่ วันที่ 3-5 มิถุนายน 2568 พระเมธีวัชรบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณหรรษา” ผอ.หลักสูตรสตินวัตกรรมและสันติศึกษา ระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เดินทางร่วมการประชุมกับประเทศนานาชาติ 30 กว่าประเทศในหัวข้อ “วิทยาศาสตร์ การทำสมาธิ และการเจริญสติ” ณ เมืองทิมพู ประเทศภูฏาน ได้เล่าสิ่งที่เห็นและเป็นไปบนเวทีประชุมกรรมฐานโลก สรุปใจความสำคัญ 8 ประการ ดังนี้
1: เข้าใจกรรมฐานให้ถูกต้อง
คำว่า “Meditation” เรารับรู้โดยทั่วไปว่า หมายถึงกรรมฐาน ส่วนคำว่า “Mindfulness” หมายถึง “สติ” กรรมฐาน หมายถึง “บาทฐานการทำงานทางจิต” ซึ่งประกอบด้วยสมถกรรมฐาน เครื่องมือหรือวิถีปฏิบัติที่มุ่งทำให้ใจสงบ วิธีดังกล่าว คืออารมณ์กรรมฐาน 40 อย่าง เช่น พุทธานุสติ และกสิณ 10 เป็นต้น และวิปัสสนากรรมฐาน เครื่องมือหรือวิธีการที่ทำให้กิเลสสงบ คือ มหาสติปัฏฐาน
สติเป็นบาทฐานของกรรมฐานทั้งสองอย่าง ผลที่เกิดจากการมีสติรู้ลึกรู้อยู่กับอารมณ์ต่างๆ จะทำให้เกิดสมาธิ การปฏิบัติสมถกรรมฐาน จะทำให้มีสมาธิแน่วแน่และตั้งมั่น เมื่อจิตมีสมาธิจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ มาเป็นฐานในการพิจารณารูปนามหรือกายใจจนเกิดปัญญารู้แจ้งธรรมะ เช่น ไตรลักษณ์ และปฏิจจสมุปบาทสมถกรรมฐานจึงเป็นบาทฐานสำคัญในการก้าวเดินสู่วิปัสสนากรรมฐาน ถึงกระนั้น ผู้ปฏิบัติตามแนวมหาสติปัฏฐานก็ต้องเดินด้วยสมถะก่อนเข้าสู่วิปัสสนา เช่นการอยู่กับลมหายใจ ความรู้สึก และความคิดให้ได้ก่อนที่จะพิจารณาสภาวะนั้นๆ จนเข้าใจและเป็นอสระจากรูปนามและกิเลสต่างๆ

2:กรรมฐานไปไกลกว่าสติในชีวิตประจำวัน
การปฏิบัติกรรมฐานนั้น ผู้ปฏิบัติจึงมิได้หยุดอยู่แค่การมีสติในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน เช่น การเรียนรู้อย่างมีสติ การขับรถ การกิน พูด การคิด การฟัง การใช้ AI อย่างมีสติ หรือการใช้สติลดความเครียด และการกดดัน ชาวตะวันตกมักจะคุ้นเคยกับการนำสติไปใช้งานกับสิ่งเหล่านี้ ความจริง สติเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสมาธิ และปัญญาเพื่อมุ่งสู่การดับทุกข์ในเรือนใจ เช่นเดียวกับการสร้างบ้านต้องอาศัยรากฐานที่แข็งแรงและคงทน ขาดสติหรือสติทรุด ย่มหมายถึงบ้านทั้งหลังย่อมทรุดลงในทึ่สุด
3: กรรมฐานของวัชรยานมักจะเดินด้วยสมถกรรมฐาน
โดยเริ่มจากการกราบแบบอัฏฐางคประดิษฐ์ การสวดมนต์เพื่อระลึกถึงศากยะมุนี เช่นกับเถรวาทที่หลายท่านมักจะมุ่งไปที่พุทธานุสติ แล้วเข้าสู่ธรรมานุสติ สิ่งที่ต่างกันชัดเจนคือ สายวัชรยายจะนำเครื่องดนตรีมาเล่นประกอบเพื่อนำเข้าสู่พิธีบ้าง ประกอบพร้อมกับเสียงสวดมนต์บ้าง รวมไปถึงการฝึกโยคะ ฝึกการบริหารลมหายใจอย่างมีสติ ท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้ ก็จะนำไปสู่สมาธิและปัญญาเช่นเดียวกับเถรวาท เพียงแต่มีการปรับวืธีการให้เหมาะสมกับจริตของผู้ปฏิบัติ
4:วิธีการต่าง แต่เป้าหมายเดียว
การปฏิบัติกรรมฐานนั้น มีกระบวนการที่หลากหลาย และบอกไม่ได้เช่นกันว่า ใฃวิธีการแบบใดเป็นวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่บอกได้คือ คำว่าดีที่สุดนั้น ดีและเหมาะกับคนจริตแบบใดมากกว่า ด้วยเหตุที่ผู้ปฏิบัติมีจริตและพื้นฐานทางใจที่แตกต่างกัน การออกแบบวิธีการที่ดีและเหมาะกับแต่ละจริตก็มีความต่างกันไป
ถึงกระนั้น ในความเป็นพุทธศาสนา ทุกนิกายก็มีเป้าหมายเดียวกันทั้งสิ้น ในขณะที่วัชรยานจะเรียกเป้าหมายสูงสุดว่า “สุญญตา” หรือ “Emtiness” ตามแนวทางของท่านนาคารชุน ในขณะที่เถรวาทเรียกตามคัมภีร์พระไตรปิฏกว่า “นิพพาน” ทั้งนี้ สองคำก็มีนัยเดียวกันแต่เรียกชื่อต่างกัน ดังบาลีว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นความอย่างยิ่ง อันหมายถึงการว่างจากกิเลส หรือว่างจากการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเรา ซึ่งสอดรับกับคำว่า “อนัตตา”


Leave a Reply