ดร.ณพลเดช มณีลังกา เปิดมุมมองที่สังคมอาจมองข้าม ชี้อดีตพระภิกษุที่ลาสิกขาด้วยสำนึกผิดไม่ควรถูกซ้ำเติมผ่านโซเชียล พร้อมเตือนการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายและบั่นทอนศรัทธาในพระพุทธศาสนา
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่อาคารรัฐสภา ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่สังคมไทยต้องเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์พระภิกษุสงฆ์ที่ลาสิกขาด้วยเหตุแห่งความผิดพลาดในพระธรรมวินัยร้ายแรง เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าพระสงฆ์ที่ลาสิกขาถือว่าให้ความรับผิดชอบต่อคณะสงฆ์โดยการลาสิกขา ซึ่งท่านบวชมาทั้งชีวิตแต่ด้วยความผิดพลาดก็จำต้องลาสิกขา ซึ่งถือว่าเป็นลูกผู้ชาย สำหรับเรื่องราวของอดีตพระสงฆ์ที่ได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาในวงกว้าง หลังจากที่ท่านได้ลาสิกขาด้วยความสมัครใจและยอมรับในความผิดพลาดของตนเอง ทว่ากลับต้องเผชิญกับการโจมตีจากบุคคลเพื่อหวังยอดไลก์ยอดวิวด้วยความหิวแสงบนสื่อสังคมออนไลน์ คำพูดประชดประชัน การนำข้อมูลอันเป็นเท็จมาเผยแพร่ และการดูหมิ่นซ้ำเติมได้สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่เคยอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างสุดหัวใจ
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามว่า การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ และมีกฎหมายใดที่สามารถคุ้มครองอดีตพระภิกษุเหล่านี้ได้บ้าง จากการตรวจสอบข้อกฎหมายพบว่า การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับอดีตพระภิกษุ ไม่ว่าจะด้วยถ้อยคำหรือภาพถ่ายในสื่อสาธารณะ อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ถึง 328 ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ นอกจากนี้ยังเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ที่ห้ามนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น และยังมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ที่ให้ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำผิดได้ครับ
ผมได้ฟังเสียงสะท้อนจากพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ ท่านได้ฝากความคิดถึงเจ้าหน้าที่รัฐและสังคมไทยว่า ที่ผ่านมาพระสงฆ์เองก็เคยให้การช่วยเหลือกับหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะวงการตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการขอให้วัดจัดสร้างพระรุ่นพิเศษเพื่อหารายได้ หรือการบริจาคสิ่งของจำเป็นให้กับตำรวจและประชาชน เมื่อถึงเวลาที่พระสงฆ์บางรูปต้องประสบปัญหาและลาสิกขา สังคมควรใช้หลักเมตตาและให้อภัย ไม่ซ้ำเติมกัน เพราะคนเราทุกคนมีโอกาสผิดพลาดและล้มลงได้ทั้งนั้น
หากพิจารณาจากคนไทยในอดีตท่านเลือกที่จะปกป้องนะครัย เรื่องราวนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญให้กับสังคมไทยว่า การปกป้องพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาไม่ใช่เพียงหน้าที่ของคณะสงฆ์เท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคน การโจมตีหรือเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่ออดีตพระภิกษุ ไม่เพียงแต่เป็นการละเมิดกฎหมาย แต่ยังบั่นทอนศรัทธาในพระพุทธศาสนาโดยรวม หากปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อสถาบันศาสนาครับ
ท้ายที่สุด ผมมองว่าสังคมควรยึดหลักใจเขาใจเราและเมตตาธรรมเป็นที่ตั้ง การให้อภัยและให้โอกาสผู้ที่เคยผิดพลาด คือการสร้างสังคมที่มีความรักและสามัคคี พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสติและการให้อภัย ไม่ใช่การซ้ำเติมผู้ที่ล้มลง ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยควรยืนหยัดปกป้องพระสงฆ์และศาสนา ด้วยความเข้าใจ เห็นใจ และเมตตาต่อกันครับ ทุกคนควรช่วยกันรับผิดชอบ หาไม่แล้วจะเห็นภาพฟ้อง-ร้องและป่าวกันไม่สิ้นสุด

Leave a Reply