นักวิชาการ “มจร” ฟาดสื่อแรง จาก “หมาเฝ้าบ้าน” สู่ “หมาเลี้ยงในบ้าน” ของผู้มีอำนาจ

วันที่ 16 สิงหาคม 2568  ดร.ไพรัตน์  ฉิมหาด ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป วิทยาเขตนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณณาชวิทยาลัย ได้โพสต์เฟชบุ๊คหลังจากสถาบันสงฆ์ถูกเสนอข่าวเชิงลบตลอดนับหลายเดือน ทำในเชิงว่าระบบตรวจสอบของสื่อมวลชนไทยไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ดังมีความว่า  เมื่อพระถูกขึงพืด แต่คนถืออำนาจกลับเดินบนพรมแดง ภาพสะท้อน “สองมาตรฐานและสื่อที่หลับตาข้างเดียว”

ในสังคมไทยร่วมสมัย การตรวจสอบความประพฤติของบุคคลสาธารณะควรจะตั้งอยู่บนหลักความเสมอภาคและยุติธรรม แต่ความจริงที่ปรากฏกลับสะท้อนภาพลวงตาที่ขมขื่น—พระภิกษุ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศีลธรรม กลับตกเป็นเป้าหมายของการเพ่งเล็ง จับผิด และตีตราอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นจำเลยสังคมถาวร ขณะที่นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ และนายทุนผู้มีบารมีทางเศรษฐกิจและการเมือง—ซึ่งในบางกรณีมีพฤติกรรมอันน่ารังเกียจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน—กลับเดินยิ้มบนพรมแดงแห่งอำนาจ ท่ามกลางการปรบมือของเครือข่ายอุปถัมภ์ และการนิ่งเงียบของกลไกตรวจสอบ

หนึ่ง ความล้มเหลวของระบบตรวจสอบในไทย ไม่ใช่เพียงความบกพร่องทางโครงสร้าง หากแต่เป็นความบิดเบี้ยวเชิงวัฒนธรรมทางการเมืองและสังคม กลไกที่ควรจะเป็น “ดวงตาสวรรค์” กลับกลายเป็น “ม่านตาบอด” ที่เลือกจะมองเฉพาะทิศทางที่ปลอดภัยต่อผู้ตรวจสอบเอง การลงโทษหรือประณามพระภิกษุผู้กระทำผิด แม้จะเป็นเรื่องสมควร หากทำด้วยมาตรฐานที่บิดเบี้ยว ย่อมเป็นเพียงการสร้างภาพว่าระบบยังทำงาน ทั้งที่ความจริงคือ การกลบเกลื่อนและอุ้มชูความชั่วของผู้มีอำนาจยังดำรงอยู่โดยไม่ถูกแตะต้อง

สอง ระบบอุปถัมภ์เป็นหัวใจดำของความอยุติธรรมในสังคมไทย บุคคลในเครือข่ายอำนาจ—ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งการเมือง ราชการ หรือภาคธุรกิจ—ต่างคุ้มครองกันและกันด้วยผลประโยชน์ร่วม แม้ความผิดจะปรากฏเด่นชัดเพียงใด ก็สามารถ “จัดการ” ให้รอดพ้นการตรวจสอบด้วยการใช้กลไกกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ การปิดข่าว หรือแม้กระทั่งการบิดเบือนข้อเท็จจริง สิ่งนี้ไม่เพียงบ่อนทำลายหลักนิติธรรม หากยังสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่ว่า “อำนาจคือใบอนุญาตให้ทำผิดโดยไม่ต้องรับโทษ”

สาม สื่อมวลชนในฐานะ “หมาเฝ้าบ้าน” ซึ่งควรจะทำหน้าที่เป็นกลไกตรวจสอบสาธารณะ กลับเลือกทำตัวเป็น “หมาเลี้ยงในบ้าน” ของผู้มีอำนาจ การรายงานข่าวมักเน้นการขยายประเด็นความผิดพลาดของพระภิกษุและบุคคลที่ไม่มีฐานอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันกลับเลี่ยงหรือลดทอนน้ำหนักข่าวเมื่อเกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินให้สำนักข่าว ด้วยเหตุนี้ สื่อจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการกดทับและการสร้างภาพหลอกลวงต่อสาธารณะ มากกว่าจะเป็นพลังเพื่อความโปร่งใส

สี่ การมีอยู่ของ “สองมาตรฐาน” และบางครั้ง “สามมาตรฐาน” ในการตรวจสอบ จึงมิใช่เพียงความบกพร่องของบุคคล แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ ที่ฝังรากลึกในโครงสร้างอำนาจ ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ และวัฒนธรรมการเมืองแบบไทยๆ ซึ่งชื่นชอบการ “ลงไม้ลงมือ” กับฝ่ายที่อ่อนแอ ขณะเดียวกันก็พนมมือไหว้ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ความยุติธรรมจึงกลายเป็นเพียงคำขวัญบนกระดาษ มากกว่าหลักปฏิบัติในชีวิตจริง

ภาพการตรวจสอบพระอย่างเอิกเกริกท่ามกลางความเงียบงันต่อความชั่วของผู้มีอำนาจ คือภาพสะท้อนของสังคมที่กลไกตรวจสอบได้กลายเป็น “โรงละครแห่งศีลธรรม” ซึ่งคนดูถูกบังคับให้เชื่อว่าระบบยังทำงาน ขณะที่เบื้องหลังเวทีเต็มไปด้วยการซื้อขายความเงียบ อำนาจ และผลประโยชน์ สังคมไทยจึงต้องเผชิญกับคำถามอันขมขื่นว่า—เรายังมีความยุติธรรมจริงอยู่หรือไม่ หรือมันได้ตายไปแล้ว พร้อมกับศีลธรรมของผู้มีอำนาจ

Leave a Reply